“คำนูณ” จี้นายกฯรีบแสดงจุดยืนรัฐบาล ไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก เชื่ออยู่แล้วกัมพูชาใช้แผนรุกล้ำอธิปไตยหาเรื่องไทย

"คำนูณ" จี้นายกฯรีบแสดงจุดยืนรัฐบาล ไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก เชื่ออยู่แล้วกัมพูชาใช้แผนรุกล้ำอธิปไตยหาเรื่องไทย

วันที่ 5 มิ.ย. นายคำนูณ สิทธิสมาน อดีตสมาชิกวุฒิสภา โพสต์เฟชบุ๊ก ว่า ย้อนรอยมหากาพย์แห่งความเจ็บปวด ประเทศไทยกับศาลโลก ICJ อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

สวนทางกับการนั่งพับเพียบกระมิดกระเมี้ยนพูดอ้อม ๆ ให้ต้องตีความและไม่ยอมพูดเรื่องที่ประเทศไทยไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก ICJ ให้หนักแน่นชัดเจนในแถลงการณ์ของรัฐบาลเมื่อเช้าวานนี้ 4 มิถุนายน 2568 รัฐบาลกัมพูชาก็ออกแถลงการณ์กล่าวหาอีกครั้งว่าทหารไทยโจมตีทหารกัมพูชาในพื้นที่ของกัมพูชา และจะขอใช้กลไกของศาลโลก ICJ แก้ปัญหา ขอให้รัฐบาลไทยร่วมมือด้วย ตามภาพที่ปรากฏ

ขอบคุณ ภูมิธรรม เวชยชัย ที่ให้สัมภาษณ์ในช่วงบ่าย ๆ เรื่องไทยไม่รับอำนาจศาล ICJ และมติครม. 12 มีนาคม 2567 ที่ผมนำมาตอกย้ำและขยี้อยู่หลายครั้ง แต่ไม่เห็นด้วยที่ท่านบอกทำนองว่าไม่อยากขยายเรื่องนี้มาก เราต้องร่วมกันขยายให้เกิดความเข้าใจร่วมกัน มหากาพย์แห่งความเจ็บปวดระหว่างไทยกับศาลโลก ICJ จำเป็นต้องรื้อฟื้นและขยายครับ

ประเทศไทยไม่เคยรับอำนาจ ICJ ตั้งแต่ศาลก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2488 แต่ถูก ICJ วินิจฉัยในปี 2504 ว่าเราได้รับอำนาจศาลแล้วในปี 2493 โดยจะครบวาระ 10 ปีในวันที่ 20 พฤษภาคม 2503 เป็นเวลา 65 ปีมาแล้ว ผลการวินิจฉัยในปี 2504 ทำให้ประเทศไทยต้องเข้าสู้คดีปราสาทพระวิหารกับกัมพูชาในศาลเพียง 1 คดี แต่เป็น 2 รอบ ตัดสินในปี 2505 และ 2565 ไม่ชนะทั้ง 2 รอบ

รัฐบาลต้องชี้แจงให้คนไทยเข้าใจร่วมกันว่า ICJ ที่ย่อมาจาก Information Court of Justice หรือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือเรียกกันอย่างติดปากว่าศาลโลกนั้นก่อตั้งขึ้นในปี 2488 หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 แม้จะเป็นองค์กรในสังกัดองค์การสหประชาชาติ แต่ไม่เหมือนศาลภายในแต่ละประเทศที่บังคับใช้กับประชาชนในประเทศนั้น ๆ ทุกคนโดยอัตโนมัติ รัฐบาลของประเทศต่าง ๆ แม้จะเป็นสมาชิกสมาชิกองค์การสหประชาชาติหาอยู่ภายใต้บังคับโดยอัตโนมัติไม่ ต้องพิจารณาแสดงเจตนายอมรับอำนาจศาลอย่างเป็นทางการเสียก่อน ถ้าไม่รับไม่ว่าจะด้วยเหตุใด ก็ไม่มีข้อผูกพันใด ๆ

การรับอำนาจ ICJ กำหนดให้ประเทศต่าง ๆ แสดงเจตนารับคราวละ 10 ปี เชื่อไหมว่าประเทศไทยไม่เคยรับอำนาจ ICJ อย่างเป็นทางการเลย เคยแต่รับอำนาจศาลประจำยุติธรรมระหว่างประเทศ (PCIJ) หรืออาจจะเรียกว่าศาลโลกเก่า ซึ่งเป็นองค์กรในสังกัดองค์การสันนิบาตชาติที่ตั้งขึ้นในปี 2463 หลังจบสงครามโลกครั้งที่ 1 รวมแล้ว 3 ครั้ง
– ครั้งที่ 1 ปี 2472 (ค.ศ. 1929)
– ครั้งที่ 2 ปี 2483 (ค.ศ. 1940)
– ครั้งที่ 3 ปี 2493 (ค.ศ. 1950)

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

แต่มีปัญหาไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ตรงการต่ออายุการรับรองอำนาจศาลครั้งที่ 3 เพราะขณะนั้นสงครามโลกครั้งที่ 2 จบไปแล้ว 5 ปี ไม่มีสันนิบาตชาติอีกแล้ว ไม่มีศาล PCIJ อยู่แล้ว มีแต่องค์การสหประชาขาติ และศาล ICJ แต่รัฐบาลไทยกลับส่งหนังสือประกาศยืนยันจากรัฐบาลไทยถึงเลขาธิการสหประชาชาติ “ขอต่ออายุการรับอำนาจศาล PCIJ” เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2493 จึงถูกวินิจฉัยในอีก 11 ปีต่อมาว่านั่นคือการยอมรับอำนาจศาล ICJ แล้ว

กัมพูชาฟ้องไทยในคดีปราสาทพระวิหารเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2502 เหลืออีก 7 เดือนจะครบอายุ 10 ปีของประกาศรับอำนาจศาลเมื่อปี 2493 แม้ประเทศไทยจะต่อสู้คดีเบื้องต้นโดยการตัดฟ้องว่าเราไม่ได้ยอมรับอำนาจศาล ICJ ศาล ICJ จึงไม่มีอำนาจพิจารณา แต่ก็ไม่เป็นผล ศาล ICJ พิพากษาข้อโต้แย้งเบื้องต้นในปี 2504 ว่าประเทศไทยยอมรับอำนาจศาลแล้วในปี 2493 ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องเดินหน้าต่อสู้คดีต่อไปและแพ้คดีปราสาทพระวิหารอย่างย่อยยับในปี 2505 ดังที่ทราบกันดี

ไทยต้องขึ้นสู้คดีในศาล ICJ อีกครั้งในปี 2554 – 2556 แต่เป็นคดีเก่าเมื่อปี 2502 – 2505 เป็นคดีที่รัฐคู่ความยื่นขอตีความคำพิพากษาในคดีปราสาทพระวิหารเมื่อปี 2505 จากข้อเท็จจริงที่ประเทศไทยต้องขึ้นต่อสู้คดีในศาล ICJ ทั้ง 2 ครั้ง กัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มก่อนทั้งสิ้นนั้น จึงเชื่อว่ากัมพูชาต้องการใช้ศาล ICJ แก้ปัญหาเขตแดนกับไทยอีกต่อไป

ทุกประการผ่านการวางแผนมา แม้กระทั่งประเด็นเขตไหล่ทวีปในอ่าวไทย ผมเชื่อว่าการที่กัมพูชาประกาศกฤษฎีกากำหนดเขตไหล่ทวีปมารุกล้ำอธิปไตยของเกาะกูดเมื่อปี 2515 ก็ผ่านการคิดคำนวณมาอย่างดีแล้วว่าจะพยายามให้จุดสุดท้ายไปจบที่ศาล ICJ และประเทศเขาจะได้เปรียบอีกครั้ง

นี่จึงเป็นเรื่องที่ประเทศไทยต้องมีทีท่าที่หนักแน่นและชัดเจน โดยรัฐบาลไทยต้องเป็นผู้นำในเรื่องนี้ เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ไม่ว่าเหตุผิดเพี้ยนของรัฐบาลไทยในปี 2493 จะเกิดขึ้นเพราะอะไร รัฐบาลไทยมีเจตนาที่แท้จริงอย่างไรต่ออำนาจศาล ICJ ที่เพิ่งเกิดขึ้นในขณะนั้นไม่นาน มันจบไปแล้ว ผู้รับผิดชอบทุกระดับคงไม่มีใครเหลือมีชีวิตอยู่แล้ว แต่ความจริงแท้แน่นอนคือประเทศไทยไม่ได้รับอำนาจศาล ICJ มาตั้งแต่ปี 2503 คดีปราสาทพระวิหารที่กัมพูชาเริ่มฟ้องในปี 2502 เป็นคดีแรกและคดีสุดท้ายที่เราอยู่ภายใต้อำนาจศาล เป็นคดีประวัติศาสตร์ที่มีถึง 2 ภาคภายในระยะเวลากว่า 60 ปี

มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 12 มีนาคม 2567 ยืนยันจุดยืนของประเทศไทยได้ชัดเจน คณะรัฐมนตรีลงมติเป็นหลักการเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2567 ให้แจ้งไปยังทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้ถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดว่าในกรณีที่มีความจำเป็นต้องจัดทำหนังสือสัญญาซึ่งมีข้อบทให้อำนาจศาล ICJ มีเขตอำนาจเหนือข้อพิพาทตามหนังสือสัญญานั้น ให้จัดทำข้อสงวนไม่รับอำนาจของศาล ICJ ไว้ทุกเรื่อง เพื่อมิให้กระทบต่ออำนาจอธิปไตยของชาติ ย้ำ – เพื่อมิให้กระทบต่ออำนาจอธิปไตยของชาติ !

วันที่ 15 และ 19 มีนาคม 2567 มีการแจ้งมติคณะรัฐมนตรีไปยังทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ ทั้งนี้ เป็นไปตามข้อสังเกตเชิงข้อเสนอมาจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตั้งแต่เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2566 ประเด็นนี้ต้องขอชื่นชมทั้งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและรัฐบาลพรรคเพื่อไทยชุดนายเศรษฐา ทวีสิน

ผมคาดการณ์อยู่แล้วว่ากัมพูชาต้องมามุกเดิมยืมมือศาล ICJ อีกแน่ในอนาคต จึงขยายความเรื่องนี้โดยการตั้งกระทู้ถามสดในวุฒิสภา เป็นการตั้งกระทู้สดถามนายกรัฐมนตรีในที่ประขุมวุฒิสภาเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2567 พ.ต.ท.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในขณะนั้น ได้รับมอบหมายให้มาเป็นผู้มาตอบแทน

ในวันนั้นผมได้ใช้เป็นโอกาสกล่าวเทิดเกียรติท่านอาจารย์ดร.สมปอง สุจริตกุล ที่ยืนหยัดปฏิเสธอำนาจศาล ICJ มาโดยตลอดชีวิตท่านด้วย แม้ดูเหมือนว่าคนไทยจะสบายใจได้ในระดับสำคัญ ขอแต่เพียงรัฐบาล ไม่ว่ารัฐบาลนี้หรือรัฐบาลไหนในอนาคต อย่าได้ยกเลิกหลักการสำคัญยิ่งอันเป็นมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 12 มีนาคม 2567 นี้ อย่าให้ซ้ำรอยความผิดพลาดในอดีตก็แล้วกัน

– ไม่ว่าการออกประกาศต่ออายุการรับอำนาจศาล PCIJ ในปี 2493 ทั้งที่ไม่มีศาล PCIJ อยู่แล้วหลายปี
– หรือใกล้ ๆ หน่อย การที่เคยมีมติครม.ชุดปลายปี 2552 ให้ยกเลิก MOU 2544 และมอบให้กระทรวงการต่างประเทศไปศึกษาวิธีการยกเลิก แต่ศึกษากันยาวนาน 5 ปี จนถึงปลายปี 2557 กลับมีมติคณะรัฐมนตรีอีกชุดหนึ่งให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีชุดปี 2552 ให้กลับมาใช้ MOU 2544 เป็นกรอบการเจรจากับกัมพูชาอีก

อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ! เพราะมติครม.นั้นเปลี่ยนแปลงได้โดยมติครม.ที่เกิดขึ้นภายหลัง นโยบายในแต่ละยุคแต่ละรัฐบาลอาจต่างกันได้ รัฐบาลเพื่อไทยยุคนายกฯแพทองธาร ชินวัตร อาจเห็นต่างจากรัฐบาลเพื่อไทยยุคนายกฯเศรษฐา ทวีสิน ผมจึงเสนอให้นายกฯแพทองธาร ชินวัตร แสดงท่าทีให้ชัด ออกมาพูดชี้แจงกับคนไทย และตอบพ่อลูกตระกูลฮุน

 

 

 

 

อาจเป็นรูปภาพของ ข้อความ

 

 

อาจเป็นภาพวาดรูป ต้นขั้วตั๋ว และ ข้อความ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

เที่ยวงาน “เสน่หามนตรา น่านนครา เมืองเก่ามีชีวิต” เทศกาลประดับไฟกลางเมืองเก่าน่าน กระตุ้นการท่องเที่ยว มุ่งสู่ก้าวสำคัญบนเส้นทางมรดกโลก
คำสั่งมีผลทันที "หน่วยฉก.นาวิกโยธิน" จันทบุรี ห้าม นทท. ไทย-กัมพูชา เข้าออก 2 จุดผ่านแดน ตั้งแต่ 7 มิ.ย.
"ผบ.ทบ." เซ็นคำสั่งแล้ว มอบอำนาจ ผบ.กองกำลังบูรพา-กองกำลังสุรนารี" ตัดสินใจ พิจารณาเปิด ปิดด่านไทย-กัมพูชา
"คำนูณ" วิจารณ์ แถลงการณ์ "ภูมิธรรม" เห็นด้วยแสดงจุดยืน ไม่รับอำนาจศาลโลก เสียดายยังยึดติด MOU 43 ทั้งๆกัมพูชาละเมิดนับไม่ถ้วน
รวบแล้ว "ไอ้มอส" นักค้ายาเสพติด พร้อมยาบ้า 8 เม็ด และ ยาไอซ์ ย่ามใจย้อนกลับมาเก็บของเตรียมหลบหนี
สระแก้ว ! จนท.หน้าด่านชายแดน ตั้งโต๊ะ แจ้งเตือน ประชาชน หากเกิดเหตุปิดด่านทันที
ด่วน "ผบ.ทบ." สั่งงัดมาตรการ เปิด-ปิดด่าน จากเบาไปหนัก ตอบโต้กัมพูชา รุกล้ำอธิปไตย
"หมอวรงค์" โพสต์แซว "ภูมิธรรม" ตื่นแล้ว ย้ำปกป้องอธิปไตยต้องมีศักดิ์ศรี อย่าทำตัวหน่อมแน้มอีก
"อนุทิน" พูดชัดภท.ไม่ปรับย้ายกระทรวง ยึดข้อตกลงเดิมจัดตั้งรัฐบาล ลั่นเกิดขึ้นไม่ได้หลุดเก้าอี้มท.1
“นายกฯ” ขอบคุณผู้นำมาเลฯ "อันวาร์" โทรถามสถานการณ์ไทย-กัมพูชา

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น