“พิพัฒน์” แจงแผนใช้งบฯ69 รุกเดินหน้าพัฒนาไอที สร้างอนาคตแรงงาน AI Semi Conductor ยกระดับศักยภาพการทำงานครบวงจร

"พิพัฒน์" แจงแผนใช้งบฯ69 รุกเดินหน้าพัฒนาไอที สร้างอนาคตแรงงาน AI Semi Conductor ยกระดับศักยภาพการทำงานครบวงจร

วันที่ 31 พฤษภาคม 2568 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงประเด็นชี้แจงต่อสื่อมวลชน ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในการการลงมติร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 โดยตอบทุกข้อกังวลของฝ่ายค้านอย่างชัดเจนและตรงประเด็น

นายพิพัฒน์ กล่าวถึงภาพรวมงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ของกระทรวงแรงงาน
ที่เพิ่มขึ้นว่าในส่วนของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยการจัดซื้องบครุภัณฑ์ระบบคอมพิวเตอร์และ AI ของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ และ ระบบ AI ที่จัดซื้อเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาหลักสูตรในการเพิ่มทักษะให้แรงงานในด้าน IT และ AI ประกอบกับวัสดุอุปกรณ์เดิมมีอายุการใช้งานที่ไม่ทันสมัยแล้ว ส่วนการพัฒนาฝีมือแรงงานแบบเดิม ๆ ซึ่งไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานนั้น กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้พัฒนายกระดับศักยภาพแรงงาน โดยอาศัยความร่วมมือระหว่างกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน สถาบันการศึกษา สถานประกอบการ โดยได้ upskill และ reskill ด้านทักษะทันสมัย ร่วมกับบริษัทชั้นนำ เช่น Microsoft ในด้านทักษะ AI อบรม เกี่ยวกับ Semi Conductor และเทคโนโลยีไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ และอบรมทักษะดิจิทัล นอกจากนี้ ยังดำเนินการร่วมกับสถาบันการศึกษา ทั้งระดับ อาชีวศึกษา และระดับอุดมศึกษาในการผลิตแรงงานที่กำลังก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงาน พร้อมทั้งการเทียบโอนวุฒิการศึกษาผ่าน Credit Bank รวมทั้งส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการพัฒนาทักษะลูกจ้างของตนเองเพื่อนำมารับสิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีกว่า 4.4 ล้านคน ทั้งยังได้เพิ่มทักษะอาชีพในกลุ่มแรงงานอิสระ โดยมีกลไกในการติดตามผู้เข้ารับการอบรมว่า ได้มีการประกอบอาชีพตามที่ได้ฝึกอบรมไปหรือไม่

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ในส่วน การพัฒนาทักษะแรงงาน ไม่ได้ทำเฉพาะแรงงานที่อยู่ในประเทศแต่จะทำให้กับแรงงานที่ได้ส่งออกไปต่างประเทศด้วย โดยได้มีการลงไปสำรวจในแต่ละประเทศว่าต้องการแรงงานเท่าไหร่เพื่อที่จะได้มีการเตรียมการในการป้อนแรงงานของไทยไปสู่ต่างประเทศ ซึ่งในแต่ละปีเรามีรายได้จากแรงงานที่อยู่ต่างประเทศ ปีละไม่น้อยกว่า 250,000 ล้านบาท ซึ่งนี่ถือเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยอีกส่วนหนึ่ง

ส่วนการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพนั้น นายพิพัฒน์ กล่าวว่า การปรับขึ้นค่าแรงในสภาวะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่นั้น ต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ จึงไม่สามารถดำเนินการปรับค่าแรงทั่วประเทศได้ โดยการปรับขึ้นค่าแรงเมื่อ 1 มกราคม 2568 จำนวน 4 จังหวัด 1 อำเภอ ได้แก่ ภูเก็ต ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา และอำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีจำนวนแรงงาน 1,716,276 ราย ได้รับประโยชน์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่คณะกรรมการค่าจ้างได้พิจารณาแล้วว่า เป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงในด้านฐานการผลิต และเป็นเมืองเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวที่มีศักยภาพสูง มีแรงงานในพื้นที่ที่มีค่าจ้างเกิน 400 บาท เกิน 80% แล้ว ส่วนในระยะถัดไปจะได้มีการวิเคราะห์ผลกระทบ และทบทวนการปรับค่าจ้างขั้นค่ำ 400 บาท ให้ครอบคลุมในพื้นที่อื่น ๆ ต่อไป

 

 

นายพิพัฒน์ ยังกล่าวถึง ความปลอดภัยในการทำงานและการบาดเจ็บของผู้ใช้แรงงานมากขึ้น ในเรื่องนี้ได้ให้นโยบายกับสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน หรือ สสปท.คิดวิธีการป้องกัน ซึ่ง สสปท.ได้ดำเนินการอบรมด้านความปลอดภัยของแรงงาน เราได้ขยายกลุ่มแรงงานนอกระบบ เช่น ไรเดอร์ แรงงานข้ามชาติ รวมไปถึงแรงงานไทยที่จะไปทำงานต่างประเทศ จะต้องได้รับการอบรมเรื่องความปลอดภัย ในกลุ่มของไรเดอร์ที่ได้จัดทำคู่มือความปลอดภัยและจัดกิจกรรมอบรมให้ความรู้ เพื่อให้ทำงานได้อย่างปลอดภัย มาตั้งแต่ปี 2567 โดยอ้างอิงงานวิจัยที่พบว่าแรงงานกลุ่มนี้ประสบอุบัติเหตุจากการทำงานสูงขึ้นเรื่อย นอกจากนี้ ยังได้จัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจตรวจสอบและดูแลคุณภาพชีวิตแรงงานกรณีเกิดอุบัติเหตุ อุบัติภัย หรือการประสบอันตรายจากการทำงาน กรณีร้ายแรง เพื่อลงพื้นที่ตรวจความปลอดภัยในการทำงานของโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่

นายพิพัฒน์ ยังกล่าวถึง โครงการสินเชื่อเพื่อส่งเสริมการจ้างงาน ระยะที่ 3 ที่กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม ได้ลงนามกับธนาคาร 6 แห่ง ได้แก่ ธนาคารยูโอบี ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารไทยเครดิต และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ไปเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคมที่ผ่านมาว่า โครงการนี้เพื่อช่วยสถานประกอบการได้เข้าถึงแหล่งทุนด้วยดอกเบี้ยต่ำ มีเป้าหมายหลักเพื่อรักษาการจ้างงานในระบบประกันสังคม กระตุ้นการหมุนเวียนเศรษฐกิจฐานราก และช่วยพยุงธุรกิจทุกระดับทั่วประเทศ โดยวงเงินรวมของโครงการอยู่ที่ 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบจากกองทุนประกันสังคม 20,000 ล้านบาท และงบกลางจากรัฐบาลอีก 10,000 ล้านบาท โครงการนี้เปิดให้สถานประกอบการที่จ่ายเงินสมทบไม่น้อยกว่า 12 เดือนติดต่อกัน และให้คำมั่นจะรักษาการจ้างงานไม่น้อยกว่า 80% ตลอดระยะเวลาสัญญา

โดยมีวงเงินสินเชื่อต่อรายแบ่งตามขนาดธุรกิจ ได้แก่ สถานประกอบการที่มีลูกจ้างไม่เกิน 200 คน สามารถกู้ได้สูงสุด 15 ล้านบาท, กรณีมีลูกจ้าง 201–500 คน วงเงินไม่เกิน 30 ล้านบาท และสำหรับสถานประกอบการที่มีลูกจ้างมากกว่า 500 คนขึ้นไป วงเงินสูงสุดไม่เกิน 50 ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยคงที่ไม่เกิน 2.35% ต่อปีในช่วง 3 ปีแรก ขณะที่กรณีไม่มีหลักทรัพย์หรือใช้บุคคลค้ำประกัน ดอกเบี้ยไม่เกิน 4.75% ต่อปี โดยโครงการนี้ในระยะที่ 3 นี้จะมีขอบเขตการช่วยเหลือที่กว้างขึ้น ครอบคลุมสถานประกอบการในทุกจังหวัดทั่วประเทศ และเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือเชิงนโยบายที่ช่วยลดผลกระทบด้านแรงงานในช่วงเศรษฐกิจเปลี่ยนผ่าน

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

“อดีตทหารป่า” โต้เดือด “ฮุนเซน” โม้ภาพถ่าย ปี 2519 อ้างช่องบกของเขมร เปิดความจริงคนละเรื่อง สวนกลับใครแน่ละเมิด MOU 43
ปอกเปลือก “เศรษฐกิจเขมร” ในยุค “ตระกูลฮุน” เข้าใจเลยทำไม ยกหูขอไทยอย่าปิดด่าน
แผ่นดินไหว 5.8 แมกนิจูดเขย่ารีสอร์ทริมทะเลตุรกี
หยุดยาว นทท.แห่ให้กำลังใจทหารฐานปฏิบัติการ ปราสาทตาเมือนธม พร้อมมอบสิ่งของ เป็นขวัญกำลังใจ
น้ำใจไทยหลั่งไหล ชาวบ้านอุบลราชธานี มอบ "ยางรถยนต์" ช่วยทหารแนวหน้าทำ "บังเกอร์" ปกป้องอธิปไตย
"สันติสุข" ชวนแฟนข่าว TOP NEWS ส่งกำลังใจ "ทหาร" แนวหน้าปกป้องแผ่นดิน
กองบิน 3 จ.สระแก้ว โชว์ศักยภาพ โดรนหิ้วระเบิดและติดอาวุธเสริมเขี้ยวเล็บทหารไทย
​“เฉลิมชัย” ติดตามการแก้ไขปัญหาการปนเปื้อนสารหนูในแม่น้ำกก-แม่น้ำสาย คืนคุณภาพชีวิตที่ดีให้ปชช.
"แรมโบ้" บี้หนัก "พีระพันธุ์" ไม่โปร่งใส คาใจไม่ไปแจงป.ป.ช.ปมถุงยังชีพ จำเป็นเคลื่อนไหวกลัวพรรคจะพัง
"โฆษกทบ." แจงชัด ไทยไม่มีส่งโดรนสอดแนม เข้าเขตกัมพูชา ยึดมั่นไม่รุกล้ำอธิปไตยใคร

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น