ผลศึกษาของสภาการเดินทางและท่องเที่ยวโลก หรือ WTTC ร่วมกับ อ็อกซ์ฟอร์ด อีโคโนมิกส์ พบว่า สหรัฐฯเป็นประเทศเดียวในโลก ที่คาดว่า จะเห็นตัวเลขใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงในปี2568 โดยคาดว่า การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติในสหรัฐฯ จะลดลงมาอยู่ในระดับไม่ถึง 1.69 แสนล้านดอลลาร์ จาก 1.81 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2567 และลดลง 22% จากระดับที่พุ่งแตะขีดสุด 10 ปีก่อน
WTTC ซึ่งประกอบด้วยบริษัทนำเที่ยวและเดินทางชั้นนำทั่วโลก ระบุว่า ภาวะเช่นนี้ จะไม่ได้รับรู้แค่การท่องเที่ยวและเดินทางเท่านั้น แต่ยังกระทบเศรษฐกิจในภาพรวม กระทบชุมชน งาน และธุรกิจมากมายจากชายฝั่งสู่อีกชายฝั่ง จูเลีย ซิมป์สัน ประธาน และซีอีโอ WTTC กล่าวว่า นี่คือเสียงปลุกรัฐบาลสหรัฐฯ ว่า ธุรกิจท่องเที่ยวและเดินทางใหญ่ที่สุดของโลก กำลังไปในทิศทางที่ผิด ไม่ใช่เพราะขาดอุปสงค์ แต่เพราะไม่ได้ทำอะไร ขณะประเทศอื่นกำลังปูเสื่อต้อนรับ แต่รัฐบาลสหรัฐฯกำลังแขวนป้าย “ปิดแล้ว” (closed)
ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้นำกวาดล้างผู้อพยพผิดกฎหมาย แสดงความเห็นกล่าวหาทางการเมืองต่อประเทศอื่น ตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าต่างประเทศ ผู้บริโภคในหลายประเทศพยายามบอยคอตสินค้าอเมริกัน และรณรงค์งดเดินทางไปสหรัฐอเมริกา
ซิมป์สัน ประธาน WTTC บอกนิวยอร์กไทมส์ ว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติกังวลเรื่องวีซ่าและหวาดกลัวที่จะเดินทางไปสหรัฐฯ เช่น วีซ่าที่ถืออยู่ ถูกต้องหรือไม่ หรือไปแล้วอาจถูกจับแบบไม่รู้ตัว หากรัฐบาลไม่ดำเนินมาตรการเร่งด่วน เพื่อกอบกู้ความมั่นใจจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาจต้องใช้เวลาอีกหลายปี กว่าที่สหรัฐฯจะกลับมาเห็นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว ในระดับเดียวกับก่อนโควิดระบาด
รายงานของ WTTC ยกข้อมูลกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ที่แสดงว่า นักท่องเที่ยวจากประเทศหลักๆไปเยือนสหรัฐฯหล่นฮวบในเดือนมีนาคม เช่น จากอังกฤษและเกาหลีใต้ ลดลงเกือบ 15% จากเยอรมนี ไอร์แลนด์และสเปน ลดลงกว่า 20% ยอดจองท่องเที่ยวช่วงซัมเมอร์จากแคนาดา ลดลง 20% WTTC ระบุว่า นี่ไม่ใช่แค่ความตกต่ำ แต่เป็นการปลุกให้ตื่น สหรัฐฯต้อนรับนักท่องเที่ยวจากเพื่อนบ้านและประเทศไกลออกไปน้อยลง บ่งชี้ชัดเจนว่าเสน่ห์ของสหรัฐฯ ในระดับโลกกำลังจางหาย รายงานยังพบว่า ชาวอเมริกันกำลังเดินทางไปต่างประเทศมากขึ้น ยิ่งซ้ำเติมภาคท่องเที่ยวสหรัฐฯ
ปีที่แล้ว การท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้แก่เศรษฐกิจสหรัฐฯ 2.6 ล้านล้านดอลลาร์ รองรับงานกว่า 20 ล้านอัตรา จ่ายภาษีกว่า 5.85 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นเกือบ 7% ของรายได้รัฐบาลสหรัฐฐฯ