รัฐบาลอังกฤษเจอแรงกดดัน ให้ระงับส่งอาวุธอิสราเอล หลังการโจมตีสังหาร 7เจ้าหน้าที่องค์กรกุศลเวิลด์ เซ็นทรัล คิทเช่น เป็นชาวอังกฤษ 3 คน
ทางการอังกฤษ กำลังเผชิญกับการเรียกร้องครั้งใหม่ ให้หยุดส่งออกอาวุธไปยังอิสราเอล ภายหลังกองทัพอิราเอลโจมตี ขบวนรถเพื่อมนุษยธรรมในฉนวนกาซ่าเมื่อวันจันทร์ ทำให้เจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ขององค์กร เวิลด์ เซ็นทรัล คิทเช่น เสียชีวิต 7 คน ซึ่งในนั้นรวมถึงเจ้าหน้าที่ชาวอังกฤษ 3 คน และเหตุการณ์ดังกล่าวได้จุดชนวนให้เกิดการประณามจากนานาชาติ
เมื่อวันพุธ นาย ปีเตอร์ ริกเก็ตต์ส อดีตที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวแสดงความเห็นกับบีบีซีว่า ขณะนี้อังกฤษมาถึงจุด ที่ต้องส่งสัญญาณให้อิสราเอลรับรู้แล้วว่า อิสราเอลไม่ได้เอาใจใส่เพียงพอ ที่จะปฏิบัติตามพันธกรณี ด้านความปลอดภัยของพลเรือน ซึ่งปรากฏหลักฐานมากมาย
ขณะที่พรรคฝ่ายค้านหลักได้ออกมาเรียกร้อง ให้รัฐบาลเผยแพร่คำแนะนำทางกฎหมายที่ได้รับว่า อิสราเอลได้ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ในระหว่างการทำสงครามในฉนวนกาซาหรือไม่ ซึ่งนายเดวิด แลมมี่ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของพรรคแรงงานฝ่ายค้านกล่าวว่า มีข้อกล่าวหาร้ายแรงมากว่า อิสราเอลละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ และเขาเรียกร้องให้รัฐบาล เผยแพร่คำแนะนำทางกฎหมายทันที โดยอ้างว่า หากระบุว่ามีความเสี่ยงที่ชัดเจนว่า อาวุธของอังกฤษถูกนำไปใช้ ในการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง ก็ถึงเวลาที่จะระงับการขายอาวุธเหล่านั้น
ด้านนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ริชี ซูแน็ก ยังคงเมินเฉยต่อข้อเรียกร้องดังกล่าว พร้อมระบุว่า รัฐบาลปฏิบัติตาม กฎ ข้อบังคับ และขั้นตอนปฏิบัติ ที่เข้มงวดเกี่ยวกับการออกใบอนุญาตส่งออกอาวุธอยู่แล้ว
ทั้งนี้ตั้งแต่ปี 2558 อังกฤษได้ขายยุทโธปกรณ์ให้อิสราเอลแล้วกว่า 4 ร้อย 87 ล้านปอนด์ ซึ่งรวมถึงชิ้นส่วนสำหรับขีปนาวุธ, รถถัง,เครื่องบินรบ ,อุปกรณ์กำหนดเป้าหมายด้วยเลเซอร์ สำหรับเครื่องบินไอพ่นที่ใช้ในฉนวนกาซา อีกทั้งยังมีส่วนร่วมในการสร้างชิ้นส่วนสำหรับเครื่องบินขับไล่ F-35 ที่ผลิตในอเมริกา ซึ่งกองทัพอากาศอิสราเอลใช้ ซึ่งหากคำสั่งระงับส่งออกมีผล จะทำให้ศักยภาพของกองทัพอิสราเอลลดลงอย่างมีนัยสำคัญ