เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันสำคัญในการลงมติชี้เป็นชี้ตายร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 เพิ่มเติม ม. 83 และ ม.91 ว่าด้วยระบบเลือกตั้ง โดย ม.83 เดิม ให้สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิก 500 คน แบ่งเป็น ส.ส.แบ่งเขต 350 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 150 คน และให้ใช้บัตรเลือกตั้ง 1 ใบ แต่ที่แก้ใหม่ ให้สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิก 500 คน แบ่งเป็น ส.ส.แบบเขต 400 คน และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน และ ให้ใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ส่วน ม. 91 เดิม การคำนวณหา ส.ส.บัญชีรายชื่อของแต่ละพรรค ให้คิดสูตรคำนวณส.ส.แบบพึงมี แต่อของที่แก้ใหม่ การคำนวณสัดส่วนส.ส.บัญชีรายชื่อของแต่ละพรรค ให้นำคะแนนที่แต่ละพรรคได้รับการเลือกตั้งมารวมกันทั้งประเทศ แล้วคำนวณเพื่อแบ่งจำนวนผู้ที่จะได้รับเลือกของแต่ละพรรค จนถึงวันนี้ยังไม่รู้ว่า “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ จะบวกลบคูณหารคิดเรื่องนี้อย่างไร จะผ่านหรือจะคว่ำการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องระบบเลือกตั้งที่จะกลับไปใช้แบบเก่า สมัยรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 โดยกลุ่มที่สนับสนุนและผลักดันแนวคิดบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ตั้งแต่วาระ 1 และ 2 ล้วนเป็นพรรคขนาดกลางและขนาดใหญ่ ประกอบด้วยพรรคพลังประชารัฐ พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา ที่ทั้งหมดมั่นใจว่าการกลับไปใช้การเลือกตั้งแบบเก่าจะทำให้ได้เก้าอี้ส.ส.เป็นกอบเป็นกำมากขึ้นกว่าการเลือกตั้งคราวก่อนเมื่อ 24 มี.ค.2562 ที่รอบนั้นบรรดาพรรคใหญ่มองว่าระบบเลือกตั้งบัตรใบเดียวไม่เอื้อให้พรรคกวาดเก้าอี้ส.ส.โดยเฉพาะผู้แทนแบบแบ่งเขต
หนำซ้ำการคิดคำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อแบบพึงมียังทำให้พรรคตัวเองได้ผู้แทนน้อย เพราะคะแนนส่วนใหญ่ถูกนำไปเกลี่ยแบ่งเก้าอี้ให้กับพรรคเล็กๆ ตามหลักการแบ่งสันปันส่วนผสม นอกจากนี้ 3 เกลอพรรคร่วมรัฐบาล อย่าง “พลังประชารัฐ -ประชาธิปัตย์ -ชาติไทยพัฒนา” ยังคิดเข้าข้างตัวเองแบบสุดโต่ง ด้านนึงมองว่าพรรคเพื่อไทยรอบนี้จะได้ผู้แทนไม่มากเหมือนเก่าไม่ถึง 136 เสียง ด้วยเหตุที่พรรคไทยรักษาชาติ(ทสช.)ที่ของ “หมวดป๋อม” ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช ที่ “โทนี่” นายทักษิณ ชินวัตร หวังว่าจะใช้เป็นพรรคเด็กปั้นเด็กสร้างก็ถูกอัปเปหิถูกยุบพรรคเพราะดันไปเล่นของสูงดึงฟ้าลงต่ำ ขณะที่ยุทธศาสตร์แตกแบงค์พันเป็นแบงค์สิบแบงค์ร้อย แยกตัวออกไปตั้งพรรคใหม่ของ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จากพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) หรือ พรรคเส้นทางใหม่ของ “เสี่ยอ๋อย”นายจาตุรนต์ ฉายแสง ก็คงจะไม่เปรี้ยงปร้างแต่อย่างใด เพราะเป็นแค่เหล้าเก่าในขวดใหม่ นอกจากนี้ยังมีก็อกสองมีตัวช่วยเรื่องงูเห่า เรื่องส.ส.ย้ายพรรค ที่ถึงตอนนั้นเชื่อว่าส.ส.พรรคเพื่อไทยจะย้ายพรรคจะโดนดูดไปอีกมาก และไม่มีทางที่พรรคเพื่อไทยแต่ทำงานเพื่อโทนี่จะกลับมาผงาดจะกวาดที่นั่งแบบแลนด์สไลด์ ตรงนี้จึงทำให้พรรค 3 เกลอร่วมรัฐบาลคิดว่ามีหวังหากมีการเปลี่ยนการเลือกตั้งไปเป็นระบบ 2 ใบ
ฝากซีกที่ไม่เห็นด้วยกับการไปใช้บัตร 2 ใบ เนื่องจากเห็นว่าใช้บัตรใบเดียวก็ดีอยู่แล้ว กลุ่มนี้ก็มีพรรคภูมิใจไทย พรรคก้าวไกล พรรคเล็กพรรคน้อยอีกนับสิบ ฯลฯ ที่หลักใหญ่ใจความเห็นว่าการเลือกตั้งบัตรใบเดียวมันช่วยส่งเสริมประชาธิปไตยมากกว่า นอกจากจะป้องกันการผูกขาดการเลือกตั้งไม่ให้ตกไปอยู่ในมือพรรคใหญ่มีผู้เล่นไม่กี่คน ยังเป็นการตัดวงจรอุบาทว์ในการทุ่มเงินซื้อเสียงในเขตเล็กๆ นอกจากนี้การคิดคำนวณส.ส.แบบบัญชีรายชื่อยังกระจายให้เกิดความยุติธรรมและเท่าเทียม เปิดโอกาสให้พรรคเล็กๆได้ลืมตาอ้าปากมีที่ยืนในสภา เพราะคะแนนเสียงทุกคะแนนมีค่า เสียงที่แพ้เสียงที่ตกน้ำก็เอามาคิดเป็นคะแนนหมด ด้วยเหตุนี้จึงยืนกรานว่ายังไงการเลือกตั้งด้วยระบบบัตรใบเดียว คิดคะแนนส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ด้วยแนวทาง ส.ส.แบบพึงมี น่าจะทำให้เกิดเลือกตั้งบริสุทธิ์ยุติธรรมกับทุกคนมากกว่า ไม่ว่าพรรคเล็กหรือพรรคใหญ่
ด้านเสียงของส.ส.พรรคเล็ก “หมอระวี” นายแพทย์ ระวี มาศฉมาดล ส.ส. พรรคพลังธรรมใหม่ อัดแหลกการเสนอแก้รัฐธรรมนูญเที่ยวนี้มาจากพรรคใหญ่ ๆ ทั้งๆที่รัฐธรรมนูญปี 60 ผ่านการทำประชามติมาจากประชาชนมีผู้รับรอง 16.8 ล้านคน ประมาณ 61% ดังนั้นถ้านักการเมืองคิดจะแก้ไขต้องไปถามประชาชน 16.8 ล้านเสียงก่อนว่าเขาเห็นด้วยหรือไม่ ขอถามตรงๆว่าที่พรรคใหญ่ๆเสนอแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ เสนอแก้เพื่อใคร เพื่อประชาชน เพื่อประเทศชาติ หรือเพื่อพรรคของท่านเอง ประชาชนต้องการรัฐธรรมนูญที่จะยุติการซื้อเสียงอย่างเด็ดขาด เพื่อให้พรรคที่จน ๆ ไม่มีเงินซื้อเสียงเข้าสภาฯได้ ทุกวันนี้เรามีแต่พรรคของนายทุนพรรค ที่ต้องเข้ามาทำมาหากินถอนทุนคืน แถมเก็บกำไรมหาศาล สำหรับไปซื้อเสียงครั้งต่อไป เจตนารมณ์รัฐธรรมนูญปี 60 คือการยกเลิกการเลือกตั้งแบบ 2 ใบ และเปลี่ยนมาเป็นหนึ่งใบแบบจัดสรรปันส่วนผสม เพื่อไม่ให้ทุกคะแนนเสียงไม่ตกน้ำ ดังนั้นการเสนอแก้เป็น 2 ใบจึงเป็นการถอยหลังเข้าคลอง
ส่วนนายโกวิทย์ พวงงาม ส.ส.พรรคพลังท้องถิ่นไท ค้านหัวชนฝาระบุการแก้ไขรัฐธรรมนูญเที่ยวนี้เป็นการสมคบคิดเพื่อผลประโยชน์ของพรรคใหญ่ เพราะจะใช้บัตรเลือกตั้งกี่ใบก็ได้ แต่การเพิ่มจำนวน ส.ส.เขตและลดจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อ จะทำให้พรรคที่มีทุนหนาได้ประโยชน์ ขณะที่พรรคเล็กไม่มีโอกาส หากเกิดการเลือกตั้งใหม่จะเกิดระบบเผด็จการรัฐสภา พรรคเล็กจะสูญพันธุ์ ควรใช้ระบบคู่ขนานหรือการจัดสรรปันส่วนผสมมาใช้คำนวณ ส.ส.
“ ถ้าใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบในระบบนี้ ผลการเลือกตั้งจะมีพรรคการเมือง 1 หรือ 2 พรรคได้เสียงข้างมาก ไม่มีการถ่วงดุลจากพรรคขนาดกลางและพรรคเล็ก พรรคใหญ่สามารถงุบงิบมีวาระซ่อนเร้นได้ ถามว่าการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้มีบางอย่างส่งสัญญาณ หรือมีวาระซ่อนเร้นไม่โปร่งใส เกรงจะนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองในอนาคต เหมือนรัฐธรรมนูญปี 40 และปี 50 ที่เป็นต้นเหตุความขัดแย้งทางการเมือง นำไปสู่การรัฐประหาร และมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นได้อีก อยากเตือนสติการพิจารณาการแก้รัฐธรรมนูญวาระ 3 ขอให้คิดให้ดี” นายโกวิทย์ยกเหตุผลมาอธิบาย
ขณะที่ฝ่ายสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่สุดท้ายอาจจะเป็นคนคุมเกมส์ชี้เป็นชี้ตายในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ 3 รอบนี้ ยังไม่ชัดว่าเสียงส่วนใหญ่จะไปทางไหนจะเอาอย่างไร แม้หลายคนออกมาแสดงความเห็นตรงส่งสัญาณชัดว่าต้องการคว่ำการแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ 3 เที่ยวนี้ เพราะไม่เกิดประโยชน์ใดๆกับประชาชนเลย หนำซ้ำอาจกลายเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าทางโจรกลายเป็นพาโทนี่กลับบ้าน เข้าทำนองหนีเสือปะจระเข้ ไม่อยากเอาพวกล้มเจ้าแต่จะได้ก๊วนโคตรโกงกลับมายึดประเทศอีกรอบแทน กลุ่มส.ว.ที่ออกมาพูดเรื่องนี้ชัดส่วนใหญ่ล้วนเป็นกลุ่มที่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ไม่เอาระบอบทักษิณ อาทิ “ทนายวันชัย” นายวันชัย สอนศิริ ที่ระบุว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นเรื่องของพรรคการเมือง และนักการเมืองล้วนๆ ไม่ได้เป็นประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง ดังนั้น เราเห็นว่า หากระบบแบบนี้มีข้อบกพร่อง และย้อนรอยกลับไปตั้งแต่ปี 40 ไม่ได้แก้ไขเพื่อเดินหน้า แต่เป็นการแก้ถอยหลัง หรือ “บิ๊กเยิ้ม” พล.อ.ธวัชชัย สมุทรสาคร เพื่อนซี้เตรียมทหารรุ่น 12 (ตท.12) ของพล.อ.ประยุทธ์ ก็ออกมาประกาศจุดยืนไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะมองว่าที่ใช้อยู่ปัจจุบันดีอยู่แล้ว จะไปแก้ไขทำไมให้ยุ่งไปอีก ฯลฯ
สุดท้ายเรื่องนี้ต้องรอลุ้นกันในวันศุกร์ที่ 10 ก.ย.นี้ ว่าผลจะออกมาอย่างไร ทั้งนี้ในรัฐธรรมนูญ ม.256 (6) ระบุว่า สำหรับวาระ 3 จะใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยมากกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ (ส.ส.482 คน สว.250 คน รวม 732 คน) คือต้องมากกว่า 367 ของทั้งสองสภา โดยในจํานวนนี้ต้องมีส.ส.ฝ่ายค้านเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของทุกพรรคการเมือง ประมาณ 43 คน ที่สำคัญต้องมีเสียงสว.เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า 1ใน 3 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมด หรือ 84 คน ทั้งนี้หากรัฐสภาเห็นชอบวาระ 3 แล้วให้รอไว้15 วัน ก่อนนําร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมขึ้นทูลเกล้าฯ จนถึงวันนี้ยังไม่รู้ว่าพล.อ.ประยุทธ์ รวมไปถึง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จะส่งสัญญาณผ่านหรือคว่ำให้ธงเรื่องนี้กับ สว. 250 คนอย่างไร แต่หากบัตร 2 ใบ ผ่านวาระ 3 ก็ยังมีช่องให้คนเห็นต่างให้ส.ส.และสว. ที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เข้าชื่อกันไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 เสนอความเห็นต่อประธานรัฐสภาเพื่อส่งความเห็นไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน โดยระหว่างนี้นายกฯจะนำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมขึ้นทูลเกล้าไม่ได้ ฯ หรือหากพล.อ.ประยุทธ์เห็นว่าการเลือกตั้งบัตร 2 ใบใช้วิธีการเก่า จะเป็นภัยคุกคามจะเป็นวีซ่าจะเป็นสะพานให้นายทักษิณกลับมายึดประเทศได้ก็อาจงัดไม้ตายชิงยุบสภาก่อนร่างรัฐธรรมนูญจะถูกนำขึ้นทูลเกล้าฯก่อนโปรดเกล้าฯลงมาก็เป็นได้ ต้องรอดูว่าพล.อ.ประยุทธ์กับพล.อ.ประวิตรจะวางเกมส์เรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ระบบเลือกตั้ง เที่ยวนี้อย่างไร
//////////////////