“ก้าวไกล” ดิ้นหนักโวยศาลปิดโอกาสแก้ต่างตั้งพรรคสำรองไปต่อ “จรัส” สวนกลับต้องเคารพดุลพินิจศาล

ล่าสุดมีความเคลื่อนไหวของพรรคอนาคตไกล โดยนายภวัต เชี่ยวชาญเรือ โฆษกพรรคอนาคตไกล กล่าวว่า ภายหลังพรรคอนาคตไกล ประชุมใหญ่สามัญจัดตั้งและเลือก กก.บห.พรรคอนาคตไกลเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2567 แล้วได้รายงานให้ผู้อำนวยการเลือกตั้งประจำกรุงเทพมหานครทราบ เพราะถือเป็นขั้นตอนตามกฎหมายพรรคการเมืองและระเบียบ กกต.ว่าด้วยพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้อง โดยมีกรอบระยะเวลา 180 วัน

ขณะนี้คณะทำงานของพรรคอนาคตไกล อยู่ในขั้นตอนตรวจสอบเอกสารให้เป็นไปตามกฎหมายเป็นขั้นตอนสุดท้าย ก่อนเสนอให้ ดร.อภิสัณห์ ศรวัชรณัฏฐ์ หัวหน้าพรรคอนาคตไกลลงนามในเอกสาร ถือเป็นขั้นตอนธุรการปกติทางทะเบียนจะต้องใช้เวลาในการตรวจสอบเอกสาร คาดว่าจะยื่นเอกสารทางทะเบียนให้แก่ กกต.ภายในเดือนมีนาคมนี้

โฆษกพรรคอนาคตไกล กล่าวต่อว่าในส่วนความเคลื่อนไหวของพรรค หัวหน้าพรรคอนาคตไกลได้เรียกประชุม กก.บห.รอบปฐมฤกษ์ครั้งแรกโดยแถลงนโยบายการบริหารฯไปแล้ว เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2567 และมีการประชุม กก.บห.ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 5 มีนาคม ที่ผ่านมา โดยจะมีการเรียกประชุมทุกวันอังคารเดือนละหนึ่งถึงสองครั้ง จึงขอให้สื่อมวลชนและพี่น้องประชาชนที่ติดตามถึงความคืบหน้าอดใจรอ เป็นพรรคการเมืองของประชาชนแน่นอน

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ นายจรัล ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวแสดงความคิดเห็นในประเด็นที่พรรคก้าวไกลเรียกร้องกรณีขอให้คู่ความได้ยื่นหลักฐานการพิจารณาคดีใหม่ และ ทนายความของพรรคก้าวไกลออกมาระบุว่าอยากให้ศาลรัฐธรรมเรียกคู่ความไปยื่นหลักฐานใหม่ โดยไม่อยากให้นำคำตัดสินเรื่องล้มล้างการปกครองมาเป็นตัวตั้งในการพิจารณา นายจรัล กล่าวชี้แจงว่า ไม่ต้องห่วง เพราะถ้ามีการยื่นคำร้องขอไปเชื่อว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาให้ตามสมควร เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลล่วงหน้า เพราะศาลจะต้องดูอะไรที่เหมาะที่ควร โดยเฉพาะเหตุการณ์บ้านเมืองในขณะนั้น ขณะเดียวกันหากถามในมุมมองของกฎหมายต้องบอกว่า กฎหมายมีความชัดเจน ซึ่งผู้ถูกร้องต้องรู้ว่า กฎหมายจะเดินแบบนี้ ท่านจึงจำเป็นต้องหาทางแก้ปัญหาในคดีนี้ ซึ่งความจริงท่านต้องไปแก้กับศาล ไม่ใช่มาแก้กับสื่อ

เมื่อถามว่า แสดงว่าหากต้องการให้ศาลรัฐธรรมนูญเรียกคู่ความมายื่นหลักฐานใหม่ทั้งหมดในคดียุบพรรคนั้น พรรคก้าวไกลจำเป็นต้องยื่นคำร้องขอต่อศาลรัฐธรรมนูญใช่หรือไม่ นายจรัล กล่าวว่า ถูกต้อง เพราะเรื่องนี้เป็นหลักกฎหมาย ส่วนศาลจะสั่งแบบไหนก็เป็นเรื่องที่อยู่ในดุลพินิจ แต่การใช้ดุลกินิจศาลก็ต้องดูข้อมูลเหตุการณ์ที่เหมะสมในขณะนั้น ไม่ใช่ในขณะเวลานี้ ดังนั้นส่วนตัวมองว่า ถ้าผู้ถูกร้องขออะไรขึ้นไปศาลต้องพิจารณาสั่งให้ เพราะจะไม่เหมือนกับฝ่ายบริหาร หรือฝ่ายปกครอง เจ้าหน้าที่ที่อาจดองเรื่องจนหลงลืมได้ แต่ศาลมีหลักการในทุกคำขอของคู่ความ แต่ถ้าไม่ขอส่วนใหญ่ศาลจะไม่ยกขึ้นมาพิจารณา เว้นแต่เป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลจะมีอำนาจยกขึ้นมาพิจารณา แต่ก็เป็นดุลพินิจของศาล หากท่านเห็นว่า ไม่จำเป็นต้องยกขึ้นมา แต่ถ้าเป็นเรื่องสำคัญ หรือกฎหมายสำคัญส่วนใหญ่ศาลจะใช้ดุลพินิจด้วยการยกขึ้นมวินิจฉัยให้ถูกต้อง

เมื่อถามว่าหากพูดในมุมมองกฎหมาย พรรคก้าวไกลมีสิทธิถึงยุบพรรคหรือไม่ นายจรัล กล่าวว่า หากว่ากันตามกฎหมายมีความเป็นไปได้ค่อนข้างมาก แต่จะให้บอกว่า 100 เปอร์เซ็นต์หรือไม่นั้น ในทางกฎหมายไม่มีอะไรที่ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะรายละเอียดในสำนวนแต่ละคดีที่เรายังไม่มีอยู่ในมือ แต่ถ้าพูดในทางกฎหมายก็พอรู้ว่า คดีนี้จะเดินไปอย่างไร แต่ถ้าถึงเวลาพิจารณาจริง ๆ หากมีข้อมูลแปลกเกิดขึ้นมาในขณะพิจารณาคดี ศาลอาจจะหาทางแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้เหมาะควร โดยไม่มากไป หรือน้อยไป