อาจเป็นเพราะเพิ่งผ่านศึกใหญ่อย่างอภิปรายไม่ไว้วางใจมาหมาดๆ เลยทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะเกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ 10 ก.ย. 2564 เลยไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร ประกอบกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญถูกมองเป็นเรื่องไกลตัวไม่ได้เกี่ยวข้อง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เวทีแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระที่ 3 เที่ยวนี้ ไม่ได้รับความสนใจและจับตามองเท่าที่ควร ทั้งๆที่ความจริงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องระบบการเลือกตั้ง วาระที่ 3 สุดสัปดาห์นี้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะชี้เป็นชี้ตายเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของอนาคตทางการเมือง ที่ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหมจะต้องตัดสินใจให้ดี เพราะจะเหลือระยะเวลาบริหารประเทศจริงๆอีกเพียงปีครึ่งเท่านั้น หากนับจากอายุของสภาผู้แทนราษฎรจริงๆ ที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 กำหนดวาระการทำงานไว้แค่ 4 ปี และให้นับหนึ่งตั้งแต่วันเลือกตั้ง เพราะฉะนั้น 24 มีนาคม 2566 ก็จะเป็นวันสุดท้ายของสภาผู้แทนราษฎร
จากนี้ไปจึงเหลือเวลาอีกไม่มากหากพล.อ.ประยุทธ์ต้องการจะอยู่ในอำนาจต่อไปในเทอม 3 สร้างประวัติศาสตร์เป็นนายกฯแฮททริกที่บริหารประเทศปกป้องบ้านเมืองพิทักษ์สถาบันครบ 3 สมัย 12 ปี แต่การจะอยู่ในอำนาจให้ได้นานต้องรู้เท่าทันต้องฉลาดในการออกกฎระเบียบต้องสุขุมรอบครอบในการวางกรอบกติกาไม่งั้นจะเสียท่าเสียการใหญ่ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องบัตรเลือกตั้ง วาระที่ 3 ที่จะเกิดขึ้น ในวันศุกร์นี้ จึงมีความสำคัญยิ่งหย่อนไม่แพ้กัน เพราะเป็นการวางกรอบวางกติกาการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ หลายฝ่ายหลายคนหลายวงการออกแรงส่งเสียงไปถึงพล.อ.ประยุทธ์เบรกการแก้ไขบัตรเลือกตั้งจากใบเดียวใบเป็นสองใบ เพราะคิดรอบครอบประเมินรอบด้านแล้ว เที่ยวนี้มีแต่เสียกับเสียแถมสุ่มเสี่ยงปลายทางจะเป็นการยกประเทศคืนกลับให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯคนแดนไกลที่หนีคดีอยู่ในต่างประเทศ เพราะจะกลายเป็นการเข้าทางปืนพรรคใหญ่อย่างพรรคเพื่อไทยไปโดยปริยาย
จากการเลือกตั้งรอบก่อนเมื่อ 24 มีนาคม 2562 ที่ใช้บัตรใบเดียว มีส.ส.แบบแบ่งเขต 350 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 150 คน พรรคเพื่อไทยได้ ส.ส.มา 136 คน (136-0) ไม่มีส.ส.บัญชีรายชื่อเลย ส่วนพรรคพลังประชารัฐได้ ส.ส.มา 116 คน ( 97+19) พรรคประชาธิปัตย์ได้ส.ส.มา 52 คน (33+20) ที่ถือว่าไม่มาก เพราะเหตุนี้ทั้ง 3 พรรคมองเห็นตรงกันว่าอุปสรรคที่สำคัญซึ่งทำให้ได้เก้าอี้ส.ส.น้อย เพราะการคิดคะแนนเลือกตั้งแบบปี 62 คะแนนนิยมส่วนใหญ่มาจากตัวแคนดิเดตนายกฯและคะแนนนิยมในตัวพรรคเท่านั้น ส่วนตัวส.ส.พื้นที่หรือผู้แทนในเขตแทบไม่มีส่วนช่วยอะไร แต่หากกลับไปใช้การเลือกตั้งแบบเก่าบัตร 2 ใบ ส.ส.ทุกคนจะกลับมามีค่ามีราคาทันที เพราะมีการแบ่งซอยเขตออกไปมาก จาก 350 เป็น 400 เขต แพ้ชนะวัดกันในเขตเลยใครมีเงินมีเครือข่ายมีหัวคะแนนมากก็เข้าวินแน่นนอน ไม่ต้องง้อคะแนนจากแคนดิเดตนายกฯที่พรรคเสนอหรือรอคะแนนนิยมจากพรรค จุดนี้จึงกลายเป็นสาเหตุให้พรรคใหญ่อย่างพรรคพลังประชารัฐกับพรรคประชาธิปัตย์ยืนกระต่ายขาเดียวต้องการเปลี่ยนระบบเลือกตั้งจากบัตรใบเดียวที่คิดคะแนนส.ส.บัญชีรายชื่อจากสูตรคำนวณส.ส.พึ่งมีทุกคะแนนทุกเสียงมีค่า จุดนี้จึงทำให้การเลือกตั้งรอบที่แล้วเราจึงได้ส.ส.ปัดเศษส.ส.พรรคเล็กหลายสิบพรรคเข้ามาเป็นผู้แทนเต็มสภา กลับไปใช้การเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบ ซึ่งมีข้อดีจุดเด่นที่ทำให้พรรคการเมืองขนาดใหญ่อย่างพรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ มีโอกาสได้เก้าอี้มากขึ้น เพราะจะไม่มีการเอาคะแนนของคนแพ้ที่เสียไปกลับมาคิดใหม่จึงเป็นการกีดกันพรรคเล็กบล็อคพรรคไม้ประดับไปโดยปริยาย
แต่สิ่งที่พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงพรรคที่ออกมาแสดงเจตจำนงค์หนุนการแก้ไขระบบเลือกตั้งเป็นบัตร 2 ใบล่าสุดอย่างพรรคชาติไทยพัฒนา (ที่เลือกตั้งรอบก่อนได้มา 10 คน (6+4) อาจจะสำคัญผิดอาจจะมองข้ามไปคือกรณีที่พรรคเพื่อไทยก็ได้เก้าอี้ส.ส.ถล่มทลายเช่นกัน รอบที่แล้วพรรคเพื่อไทยกวาดส.ส.แบบเขตไป 136 เสียง ไม่มีบัญชีรายชื่อเลย ขนาดตอนนั้นถูกกดถูกบล็อกขาดกระสุนไม่มีกระแส ขั้วอำนาจเก่าพรรคโทนี่ยังชนะเลือกตั้งนอนมาเป็นพรรคอันดับ 1 แต่ไปแพ้ตอนจับพวกตั้งรัฐบาลที่ได้คะแนนเสียงได้ส.ส.น้อยกว่า มาเลือกตั้งทั่วไปคราวนี้ ถามจริงๆว่าพรรคพลังประชารัฐคุณมึงไปเอาความมั่นใจว่าแก้เลือกตั้งเป็น 2 ใบแล้วจะชนะเลือกตั้งมาจากไหน คำถามนี้นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ตัวตั้งตัวตีที่เดินเกมส์ให้มีการแก้ระบบเลือกตั้งจากบัตรใบเดียวไปเป็นบัตร 2 ใบ เคยคุยกับพล.อ.ประยุทธ์แบบตกผลึกคุยกับส.ว.ที่เป็นห่วงอย่างเปิดอกคุยให้ประชาชนที่รักบ้านเมืองปกป้องสถาบันเขาเข้าใจถ่องแท้รอบครอบครบถ้วนหรือยัง หรือสักแต่ว่าคิดเองเออเองถ้าพวกกูตัวกูได้ผลประโยชน์ทุกอย่างจบเดินหน้าต่อไปได้ อนาคตบ้านเมืองสถาบันจะฉิบหายวายป่วงถูกเยียบย่ำทำลายอย่างไรก็ไม่สนไม่แคร์ ถ้าเข้าอีหรอบนี้รัฐสภาจะแก้รัฐธรรมนูญให้กลับไปใช้บัตร 2 ใบทำห่าเหวอะไร เพราะเหมือนต่อสะพานให้โจรกลับบ้านยื่นวีซ่าให้โทนี่ยกประเทศให้ทักษิณอีกรอบ
เรื่องแบบนี้ทำไมคนในพรรคพลังประชารัฐคิดไม่เป็น พรรคร่วมรัฐบาลคิดไม่ได้ อย่างน้อยก็มีพรรคภูมิใจไทย ที่มีส.ส. 61 คน (39+12) หนึ่งพรรคที่พอจะฝากผีฝากไข้ได้ เพราะแสดงจุดยืนไม่เอาไม่เห็นด้วยไม่หลงเหลี่ยมไปกับเรื่องนี้มาตลอด แต่ทำไมพรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ และล่าสุดพรรคชาติไทยพัฒนาถึงไปตีโง่เดินตามเกมส์พรรคเพื่อไทยไปตามหมากนักโทษทักษิณ ที่ป่านนี้คงนั่งอมยิ้มจิบกาแฟไถโทรศัพท์เชคข่าวดีเรื่องนี้อยู่ที่ดูไบ เพราะไม่คิดว่าพรรคแกนนำรัฐบาลจะคิดสั้นคิดเข้าเข้างตัวเองจนตายน้ำตื่นแต่เป็นผลดีกับพรรคเพื่อไทยกับอำนาจเก่ากับตัวเองแบบนี้ หลักใหญ่ใจความที่พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา เห็นว่าบัตรเลือกตั้ง 2 ใบดี เพราะคิดแค่ว่าถ้าเลือกตั้งตามสูตรนี้เก้าอี้ส.ส.ของตัวเองคงได้มากตามไปด้วยและได้มากกว่าการเลือกตั้งคราวก่อนในปี 62 แน่นอน รวมถึงคิดมุมกลับว่าพรรคเพื่อไทยคงไม่ได้ส.ส.มากเหมือนเก่าคือ 136 เสียง เพราะตอนนี้แกนนำหลายคนหัวหน้าหลายก๊วนถูกแยกแตกออกไปทำพรรคตัวเองแล้ว อาทิ พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ของร.อ.ปรีชาพล พงษ์พานิช พรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) ของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ พรรคเส้นทางใหม่(สทม.) ของนายจาตุรนค์ ฉายแสง ฯลฯ เพราะฉะนั้นโอกาสที่พรรคเพื่อไทยจะได้คะแนนเป็นกอบเป็นกำเหมือนคราวก่อนคงไม่มี
แต่ทั้งหลายทั้งมวลกลับลืมคิดไปว่าพรรคเพื่อไทยก็มีโอกาสได้คะแนนถล่มทลายเช่นกัน ในเมื่อการเลือกตั้งของไทยยังอาศัยปัจจัยสำคัญ 3 เรื่อง คือ 1.เงิน 2.หัวคะแนน 3.อำนาจ อย่าลืมว่านายทักษิณคนขั่วอำนาจเก่าช่ำชองเชี่ยวชาญการเลือกตั้งแบบนี้ 6 ก.พ.2548 นายทักษิณนำพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลาย 377 เสียง จากจำนวน 500 เสียง ประวัติศาสตร์การเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ในคราวนั้น ยังสยองและสร้างความเข็ดขยาดให้กับทุกกลุ่มตรงข้ามมาจนถึงทุกวันนี้ ช่วงหลังแม้การชนะด้วยเสียงเกินครึ่งเป็นพรรคเดียวแบบคราวนั้นเป็นเรื่องยากที่จะเกิด แต่การได้เสียงส.ส. 200 กว่า หรือ 100 กว่า เป็นขั้วอำนาจที่ชนะการเลือกตั้งก็มีเห็นอยู่บ่อยในการเลือกตั้งหลายครั้งที่ผ่านมาจากพรรคลูกๆ อย่าง พรรคพลังประชาชน หรือ พรรคเพื่อไทย จำไม่ได้หรือเที่ยวก่อนพรรคพลังประชารัฐที่หนุนพล.อ.ประยุทธ์ก็แพ้เลือกตั้งเป็นแค่พรรคอันดับ 2 แต่ไปชนะในเกมส์รวมเสียงข้างมากจึงได้จัดตั้งรัฐบาลและมีส.ว.ยกมือสนับสนุนด้วย
มารอบนี้อย่าหวังว่าปาฏิหาริย์จะเกิดง่ายๆ ลองคิดเล่นๆดู เลือกตั้งคราวหน้าถ้าแก้รัฐธรรมนูญกลับไปใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ พรรคเพื่อไทยที่มีเงินมีหัวคะแนนมีการวางคนมีเครือข่ายมีระบบบริหารจัดการที่ดีจะได้เก้าอี้ส.ส.เท่าไหร่ แค่ภาคอีสานก็เกิน 100 แล้ว ถ้ารวมกับพรรคขนาดกลางขนาดเล็ก ที่นายทักษิณใช้ยุทธ์ศาสตร์แตกแบงค์พันเป็นแบงค์ร้อยแบงค์ห้าสิบแบงค์ยี่สิบ แล้วพรรคเพื่อไทยรวมเสียงพรรคสมุนพรรคเบี้ยล่างแบบนี้ขึ้นมาบ้างพรรคพลังประชารัฐจะเอาอะไรไปสู้ บทเรียนคราวก่อนก็มีแล้วพรรคเพื่อไทยคงไม่โง่แพ้เกมส์จัดตั้งรัฐบาลอีก ลำพังพรรคพลังประชารัฐตอนนี้พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ต้องเสียเวลาไปห่วงพรรคอื่นไปกังวลเรื่องคนแดนไกลหรอก แค่ในพรรคในมุ้งตัวเองก็คุมให้อยู่เอาให้รอดเถอะ ชอบใช้บริการงูเห่านิยมตกปลาในบ่อเพื่อนระวังอนาคตกรรมจะตามสนอง บทเรียนขบวนการคว่ำนายกฯเลื่อยขาสร.1 จากก๊วน “ผู้กองแป้ง” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐก็มีให้เสียวสันหลังให้นอนไม่หลับกันมาแล้ว อย่าคิดว่าอนาคตพรรคพลังประชารัฐจะไม่มีงูเห่าเกิดขึ้นบ้าง ถ้าผลประโยชน์ลงตัวพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งมาเป็นเบอร์ 1 รอบหน้า อนาคตพล.อ.ประยุทธ์จะเห็นธาตุแท้นักการเมืองตัวจริงออกมาแน่ๆ อย่าว่าแต่ผู้กองแป้งจะพางูเห่าไปซบอกโทนี่เลย แก๊งค์สามมิตร 4 ว. พ่วง 1 ช. ล่าสุดก็จะวิ่งแจ้นกลับไปหานายเก่าด้วย การเมืองเป็นเรื่องไม่แน่นอน ถ้าผลประโยชน์ลงตัวอะไรๆก็เกิดขึ้นได้ ตัวอย่างก็มีให้เห็นกันมาแล้วสารพัดเรื่อง เวลายังพอมีพล.อ.ประยุทธ์ลองคิดเรื่องแก้รัฐธรรมนูญให้ดีๆ คุยเรื่องนี้ให้รอบครอบ ไตร่ตรองผลได้ผลเสียทุกมุมให้จงหนัก เพราะแก้รัฐธรรมนูญกลับไปใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เห็นแววหายนะของบ้านเมือง ความฉิบหายรออยู่ โทนี่คัมแบ๊กเพื่อไทยมาแน่ เตือนกันดังๆ ด้วยความหวังดี ถึงเวลาพล.อ.ประยุทธ์ตัดสินใจรักษาผลประโยชน์ชาติหรือเอาใจนักการเมืองยกประเทศกลับไปให้ทักษิณ
///////////////////