วันที่ 2 ก.ย. 2564 กลุ่มสื่อมวลชน ทั้งที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสูง เสี่ยงต่ำและไม่รู้ว่าตัวเองเป็นกลุ่มเสี่ยงหรือไม่ทั้งสื่อในสังกัดของรัฐและเอกชนรวมกว่า 30 คน นำโดยนางจิรา วงศ์สวัสดิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครศรีธรรมราช เดินทางเข้าตรวจหาเชื้อโควิด-19 ที่สำนักงาน สสจ.นครศรีธรรมราช เป็นครั้งที่ 2 หลังจากเข้ารับการตรวจครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 ส.ค. 2564 ที่ผ่านมา เนื่องจากมีสื่อจำนวนหนึ่งไปร่วมทำข่าวกรณีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และนายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.พปชร.เขต 2 จ.นครศรีธรรมราช เดินทางมาร่วมกิจกรรมในวันนับถอยหลังปลดล็อคพืชกระท่อม ที่วัดมหิสสราราม หมู่ 10 ต.คลองน้อย อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช และต่อมาทราบว่ามีข้าราชการกรมราชทัณฑ์นายหนึ่งติดเชื้อโควิด จนหลังจากนั้นในวันที่ 27 ส.ค. 2564 มีสื่อมวลชนผู้หญิงช่อง 11 คนที่ไปร่วมทำข่าวมีอาการไข้เล็กน้อยจึงไปตรวจเชื้อพบว่าติดเชื้อโควิด ทำให้คนชิดครอบครัวและในที่ทำงานช่อง 11 ของนักข่าวคนดังกล่าวต้องเข้ารับการตรวจและกักตัวทั้งหมดมาตั้งแต่วันนที่ 28 ส.ค. 2564 ที่ผ่านมา
อย่างก็ตามแม้สื่อมวลชนในสังกัดสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดนครศรีธรรมราช สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยจังหวัดนครศรีธรรมราช และสื่อสังกัดเอกชนอีกหลายสำนักจะไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงเพราะไม่ได้ใกล้ชิดหรือสัมผัสกับนักข่าวช่อง 11 เลยแต่เพื่อความสบายใจและมั่นใจ จึงถือโอกาสเข้ารับการตรวจด้วย ปรากฏว่าทั้งหมดทั้งที่เสี่ยงสูง เสี่ยงต่ำ และไม่รู้ว่าเสี่ยงหรือไม่แต่เข้ารับการตรวจทั้ง 2 ครั้งไม่พบว่ามีใครติดเชื้อเพิ่มเติม ทางเจ้าหน้าที่ สสจ.นครศรีธรรมราช ได้นัดตรวจซ้ำอีกครั้งเป็นครั้งที่ 3 ในวันที่ 9 ก.ย. 2564
ซึ่งนอกจากกลุ่มสื่อมวลชนผู้ที่มาเข้านับการตรวจที่ สสจ.นครศรีธรรมราช แล้วยังมีผู้คนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงจากสถานที่ต่าง ๆ เข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิดด้วยพบว่ามีผู้ติดเชื้อมากถึง 21 คน โดยเฉพาะครอบครัวหนึ่งประกอบด้วยแม่ และลูก 2 คนอายุ 4-5 ขวบผลการตรวจพบว่าติดเชื้อโควิดทั้ง 3 คนแม่ลูก สร้างความหวั่นวิตกกังวลให้กับกลุ่มสื่อมวลขนและคนอื่น ๆ ที่เข้ารับการตรวจเป็นอย่างมาก เนื่องจากหลังการตรวจเจ้าหน้าที่จะให้ผู้เข้ารับการตรวจทุกคนมานั่งปะปนกันในเต้นท์เพื่อรอผลการตรวจและรับเอกสารนัดตรวจครั้งต่อไป เมื่อผลการตรวจออกมาและพบว่ามีคนติดเชื้อก็จะมานำตัวผู้ที่ติดเชื้อแยกออกไปนั่งอีกเต้นท์หนึ่ง เท่ากับว่าก่อนจะทราบผลการตรวจทั้งคนที่ติดเชื้อและไม่ติดเชื้อนั่งอยู่ในกลุ่มเดียวกัน เต้นท์เดียวกัน แม้จะจัดที่นั่งห่างกันกว่า 1 เมตรและสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาก็ตาม เชื่อว่าเสี่ยงต่อการจะติดเชื้อได้เช่นกัน
จากการประชาสัมพันธ์ชี้แจงของเจ้าหน้าที่ในสถานที่ตรวจหาเชื้อ แจ้งว่าในการออกตรวจเคลื่อนที่ตามจุดต่าง ๆ ก็จะมีวิธีการปฏิบัติแบบเดียวกัน ในระยะนี้พบว่าในการตรวจในเขตเทศบาลมีผู้ติดเชื้อวันละกว่า 45 คน ขอให้ทุกคนที่นั่งรอผลการตรวจห้ามถอดหน้ากาอนามัยเด็ดขาด แม้จะถอดดื่มน้ำก็ไม่ได้ทำให้ทุกคนที่น่างรอผลการตรวจเชื้อรู้สึกว่าการตรวจในรูปแบบเดียวกล่าวเป็นวิธีการที่เพิ่มความเสี่ยงให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นได้โดยไม่จำเป็นเพราะคนในเต้นท์นับร้อยคนนั่งรวมกันอยู่ แม้เจ้าหน้าที่จะจัดเก้าอี้เว้นระยะห่างและกำชับให้สวมหน้ากากอนามัยห้ามถอดเด็ดขาด รอจนเจ้าหน้าที่จะมาแจ้งผลว่าติดเชื้อหรือไม่ติดเชื้อ โดยคนที่ติดเชื้อจะถูกเจ้าหน้าที่พาตัวแยกไปนั่งเต้นท์อีกเต้นท์หนึ่ง เพื่อรอรถพยาบาลมารับตัวไป รพ.ต่อไป
ซึ่งการแก้ปัญหาไม่ให้การตรวจหาเชื้อเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อเสียเองนั้นการตรวจในลักษณะดังกล่าวจึงควรจะตรวจเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่ผ่านการสอบสวนโรคจากเจ้าหน้าที่มาแล้วและระบุว่าเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง เท่านั้น แต่ในปัจจุบันการสุ่มตรวจคนทั่วไป โดยในปัจจุบันไม่มีการสอบสวนโรคเพื่อหาไทม์ไลน์ว่าเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงหรือไม่ เมื่อเข้ารับการตรวจทำให้บุคคลนั้นกลายเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงที่จะต้องเข้ารับการกักตัว โดยในแต่ละวันเจ้าหน้าที่จะจัดส่งข้อมูลไปยัง รพ.สต.หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่บุคคลดังกล่าวพักอาศัยอยู่และสั่งให้กักตัวตามมาตรการของราชการ ส่งผลกระทบต่อวิถีการดำรงชีวิตของผู้คนที่เข้ารับการตรวจโควิด-19 เป็นอย่างมาก ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงจริง ๆ ไม่อยากเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิดเพราะนอกจากจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อในวันไปตรวจแล้วยังต้องถูกกักตัว 14 วันอีกด้วย.
ไพฑูรย์ อินทศิลา ผู้สื่อข่าวภูมิภาค จ.นครศรีธรรมราช