หลังจากเงียบเหงามานานสัปดาห์นี้ความร้อนแรงของข่าว จะกลับมาที่เรื่องการเมืองอีกครั้ง เนื่องจากตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค. – 4 ก.ย. จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯและรัฐมนตรีรวม 6 คน ประกอบด้วย 1.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม ที่คาดว่าจะโดนเต็มๆจากเรื่องการบริหารจัดการโควิด-19 ผิดพลาด การจัดซื้ออาวุธ การบริหารจัดการม็อบ การกู้เงิน ฯลฯ 2. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข คาดว่าจะถูกอภิปรายเรื่องความล้มเหลวการควบคุมสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อโควิด และการบริหารวัคซีนผิดพลาด 3. นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม คาดว่าจะถูกอภิปรายเรื่องฮุบที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์, ประมูลรถไฟทางคู่สายอีสานและสายเหนือ , ปัญหาด้านจริยธรรม ถูกกล่าวหามีส่วนเกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดเชื้อโควิดระลอก 3 คลัสเตอร์สถานบันเทิง “ทองหล่อ-เอกมัย” 4. นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ เรื่องปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรสารพัดชนิด 5. นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน กรณีไร้ประสิทิภาพจัดการแรงงาน, ปัญหาปิดแคมป์คนงาน ทำให้แรงงานรีบหนีออกจากพื้นที่ จนเชื้อโควิดแพร่กระจาย ,ปัญหาการเยียวยาช่วยเหลือแรงงานที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 , 6. นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรณีการเอาผิดบุคคลที่ออกมา call out รัฐบาล เป็นต้น
การอภิปรายไม่ไว้วางใจเที่ยวนี้ดูเหมือนจะเป็นรอบที่หนักสุดของพล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาล หากเทียบกับหลายครั้งที่ผ่านมา เพราะนอกจากจะเป็นช่วงขาลงของรัฐบาล เป็นช่วงที่คนเริ่มเบื่อเพราะเป็นนายกฯสมัยที่สอง เป็นรัฐบาลหน้าเก่าเพราะทำงานมาเกือบ 7 ปีแล้ว ยังมาเจอสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ที่คร่าชีวิตคนไทยเรือนหมื่นติดเชื้อเป็นล้านผสมโรงให้อ่วมอรทัยหนักขึ้นไปอีก รอบนี้่ตัวพล.อ.ประยุทธ์จึงน่าจะกลายเป็นนิ่้งเป็นตำบลกระสุนตกแบบเต็มๆ
ก่อนหน้านี้ก็มีกระแสข่าวดีลลับดีลทางไกลระหว่างพรรคพลังประชารัฐพรรคเพื่อไทยที่ต้องการย้ายขั้วสลับข้างมาร่วมงานกับรัฐบาล ถึงขั้นมีการพูดว่า “โทนี่” ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของพรรคตัวจริงก็เอาด้วย โดยหวังใช้สูตรไขว้สลับฝั่งตั้งรัฐบาลแห่งชาติจากพรรคอันดับ 1 อันดับ 2 คือ พรรคพลังประชารัฐ 122 เสียงบวกกับพรรคเพื่อไทย 134 เสียงรวมกับพรรคเอสเอ็มอีที่เหลือก็จะมีเสียงเกือบ 300 เสียง ภายใต้เงื่อนไขต้องเขี่ยพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ที่มีส.ส.รวมกันราว 112 คน ( 61 ส.ส. + 51 ส.ส. ) ออกไปเป็นฝ่ายค้าน หัวใจสำคัญของสูตรนี้ต้องมีการเปลี่ยนหัวสลับตัวนายกฯจากพล.อ.ประยุทธ์ไปเป็นพล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐแทน เป็นข่าวลือที่พูดมานานแต่ไม่มีทีท่าว่าจะจริง เพราะอำนาจบารมีของพล.อ.ประยุทธ์แม้จะอยู่ในช่วงโรยลาขาลง แต่คนเป็นใหญ่เป็นสร.1 มา 7 ปีก็คงมีของมีพลังภายในที่ทำให้ทุกคนเกรงใจอยู่มาก อย่างน้อยการเป็นนายกฯที่มีจุดแข็งไม่กินไม่โกงไม่ซูเอี๋ยแม้ว รักชาติเทิดทูนสถาบันก็พอทำให้พล.อ.ประยุทธ์น่าจะไปตัวเลือกในการดูแลบ้านเมืองที่ดีที่สุด แม้ชั่วโมงนี้คนไทยจะเบื่อชาวบ้านจะระอาลุงสุดๆแล้วก็ตามที
ปัญหาภายนอกที่ถูกพรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจก็หนักหนาสาหัสสากรรจ์อยู่แล้ว ปัญหาการเมืองภายในของพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเองก็หนัก ด้านหนึ่งก็ยังมีความระหองระแหงระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับพรรคภูมิใจไทยกันอยู่ ถ้าจำได้อภิปรายไม่ไว้วางใจเที่ยวก่อน “มาดามเดียร์” วทันยา วงษ์โอภาสี ก็แหกมติพรรคพาส.ส.กลุ่มดาวฤกษ์ งดออกเสียงแหกอกนายศักดิ์สยามกลางสภาจนเสียหน้ามารอบนึงแล้ว และกลายเป็นต้นเหตุให้ 2 พรรคขบเหลี่ยมปีนเกลียวกันมาตลอด มาคราวนี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะมีอะไรแปลกๆมติพิเรนทร์เกิดขึ้นอีก
เรื่องแค่นั้นยังไม่หนักเท่ากับปัญหาคลื่นใต้น้ำภายในพรรคพลังประชารัฐ ที่ตอนนี้แตกเป็นมุ้งเป็นกลุ่มเป็นก๊กแตกกันกระจาย ล่าสุดถึงขนาดมีข่าววงในว่าแกนนำเตรียมเปิดศึกใหญ่กลางเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาหวังใช้เกมส์ภายนอกเร่งเร้าความเปลี่ยนแปลงภายในให้เป็นจริง รอบนี้มีการพุ่งเป้าไปที่เลขาฯพรรคคนใหม่ผู้ใจร้อนอย่าง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ จับมือแนบแน่นกับผู้อาวุโสเก๋าเกมส์อย่างนายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานวิปรัฐบาล เดินเกมส์ไล่บี้พล.อ.ประยุทธ์อย่างหนักหน่วงเพื่อให้มีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีให้มีการปรับครม. ใช้กลยุทธ์ใช้เครือข่ายใช้กระสุนดินดำ กดดันทุกวิถีทางให้พล.อ.ประยุทธ์เปลี่ยนใจปรับครม. มีข่าวถึงขนาดเดินสายคุยพรรคเล็ก ล็อคคอจับเข่าส.ส.ปลาซิวปลาสร้อยคุยกันแบบรายตัวไว้เรียบร้อยแล้ว 20-25 เสียง
เตรียมกลยุทธ์ด้อยค่ารัฐมนตรีที่ถูกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนที่ถูกแจ็กพ็อตถูกล็อคเป้าหมาย คนแรกคือ รัฐมนตรี ” ไตรเทพ 1″ นายสุชาติ คนโตชลบุรี คนที่สองคือ รัฐมนตรีนามเรียกขาน “สนเทศ” นายชัยวุฒิ ทายาทลูกหลานแม่กิมลี้ ร้านทองดังเมืองสิงห์บุรี แววว่าเตรียมพลอตเรื่องวางโครงกันไว้แล้ว ด้านหนึ่งให้พรรคเล็กที่ล็อบบี้จ่ายค่าน้ำกันไว้แล้วงดออกเสียงรัฐมนตรีเป้าหมายทั้งสองคน อีกด้านภายในพรรคก็ไม่ยกมือให้สองคนนี้ผ่านความไว้วางใจ บทสรุปสุดท้ายเพื่อทำให้ทั้งสองคนได้เสียงโหวตไว้วางใจน้อยสุดหรือไม่ไว้วางใจมากสุด เพื่อจะได้เอาไปเป็นข้ออ้างกดดันพล.อ.ประยุทธ์ให้ปรับครม. ทั้งนี้รวมถึงรัฐมนตรีนอกการอภิปรายไม่ไว้วางใจ อย่าง ” เสมา 1 ” นางตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการด้วยอีกคนที่ถูกหางเลขไปเต็มๆ โดยอ้างว่ารัฐมนตรีทั้ง 3 คน สอบตกเรื่องผลงาน ส.ส.เข้าถึงยาก ไม่สนองงานพรรค จึงต้องมีการเปลี่ยนคนใหม่เข้าไปทำหน้าที่แทน
โดยเก้าอี้ไตรเทพ 1 มีข่าวว่า ร.อ.ธรรมนัส ขอจับจองเพราะต้องการขึ้นชั้นเป็นเสนาบดีว่าการ ด้วยเหตุที่มีตำแหน่งใหญ่โตถึงขั้นแม่บ้านพรรคพลังประชารัฐจะให้นั่งรมช.ไปตลอดก็คงไม่สมศักดิ์ศรี ส่วนเก้าอี้เสมา 1 ทางรมต.คู่หูในก๊วน ” 4 ช.” อย่าง “อ.แหม่ม” นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ที่นั่งเป็นรมช.แรงงานเจ้าของรหัสไตรเทพ 2 ก็จะขยับออกจากกระทรวงแรงงานไปดูแลเด็กๆ สมความตั้งใจขึ้นชั้นเป็นรมว.ศึกษาธิการ ส่วนเก้าอี้สนเทศของนายชัยวุฒินั้น ทางป๋าวิรัชก็จองโควต้านี้ให้ “เสี่ยแบงค์” นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม เสนาบดีอายุน้อยสุดของรัฐบาลเรือแป๊ะ ที่เป็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเดินออกจากกระทรวงหูกวางข้ามฟากไปฝั่งแจ้งวัฒนะขึ้นหิ้งเป็นรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแทน
อย่าคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นข่าวลืออย่ามองว่าเรื่องเหล่านี้เป็นไปไม่ได้ เพราะพลังภายในของร.อ.ธรรมนัสที่ถูกมองว่าเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้นั้นไม่ธรรมดา ก่อนหน้านี้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบที่แล้วช่วงเดือนก.พ. 2564 ร.อ.ธรรมนัสก็เป็นรัฐมนตรีของรัฐบาลที่ได้คะแนนไว้วางใจมากที่สุดมาแล้ว มากกว่าพล.อ.ประยุทธ์ด้วยซ้ำ ถึงขนาดโดนลุงออกปากแซวว่า ” คะแนนดีแบบนี้ต้องเป็นนายกฯแล้ว” อย่าลืมว่าก่อนหน้านี้มีคนปรามาสว่าพรรษายังไม่ถึงขั้นเป็นเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐได้ ร.อ.ธรรมนัสก็ผงาดเป็นแม่บ้านพรรคให้เห็นมาแล้ว หลังได้เป็นเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ตั้งแต่ 18 มิ.ย.ในการประชุมใหญ่ของพรรคที่ จ.ขอนแก่นมานาน 2 เดือนเศษแล้ว แต่ยังไม่มีทีท่าว่าพล.อ.ประยุทธ์จะปรับครม.อัพเกรดเก้าอี้ให้แต่อย่างใด งานนี้เลยต้องยืมมือพรคเล็กใช้ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจกดดันนายกฯให้มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งจัดคนในเรือแป๊ะใหม่ให้ตรงกับอำนาจและบารมีในปัจจุบัน
ขณะที่นายวิรัชตอนนี้ก็เป็นคนที่พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตรต้องอาศัยพึ่งพา เพราะเป็นแม่ทัพใหญ่คนถือหางเสือคุมเกมส์คุมจังหวะคุมความได้เปรียบเสียเปรียบในสภาให้กับพรรคพลังประชารัฐมาโดยตลอด ความเขี้ยวรากดินไม่ต้องพูดถึง อดีตเคยเป็นเลขานุการข้างกาย ” มังกรสุพรรณบุรี” นายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกฯ เคยเป็นรมช.เกษตรและสหกรณ์ สมัยนายชวน หลีกภัย เป็นนายกฯ แต่หลุดตำแหน่งเพราะข้อครหาในโครงการผักสวนครัวรั้วกินได้ เพราะอนุมัติซื้อเมล็ดพันธุ์ผักแพงเกินจริง เพราะฉะนั้นเรื่องเหลี่ยมคูทางการเมืองลูกล่อลูกชนเรียกว่าแพรวพราวเจ็ดชั้น แว่วว่าเที่ยวนี้เทหมดหน้าตักด้านหนึ่งหวังกดดันให้มีการผ่อนหนักเป็นเบาคดีที่ตัวเองถูกกล่าวหาร่วมกับพวก 88 คน เอี่ยวทุจริตโครงการสร้างสนามฟุตซอล จ.นครราชสีมา พศ.2555 ที่ขณะนี้คดีถูกอัยการสูงสุด (อสส.) มีความเห็นสั่งฟ้องรวม 7 สำนวน และเตรียมยื่นเรื่องต่อศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อลงโทษเอาผิด อีกด้านก็ต้องการผลักดันลูกชายขึ้นชั้นเป็นรัฐมนตรีว่าการทำฝันพ่อให้เป็นจริง
เท็จจริงเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร จะมีการกดดันพล.อ.ประยุทธ์ให้ตัดสินใจเร่งปรับครม.จริงอย่างที่มีข่าวหลุดออกมาหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์จะตัดสินใจอย่างไรยอมรับหรือยับยั้งเกมส์การเมืองรอบนี้อย่างไร จับตาศึกซักฟอกในสภา ท้ายสุดจะมีการยกมือแลกเก้าอี้รัฐมนตรี ล็อบบี้พรรคเล็กด้อยค่า “สุชาติ -ชัยวุฒิ” มีกระบวนการรุกไล่นางตรีนุชในพรรคจริงหรือไม่ อภิปรายไม่ไว้วางใจรอบนี้ 31 ส.ค. – 4 ก.ย. ต้องติดตามชนิดห้ามกระพริบตา
//////////////////////////