วันที่ 28 สิงหาคม 2564 นายพิทักษ์ พิศสิริวัฒนสุทธิ์ ปลัดจังหวัดชุมพร ผอ.ทสจ.ชุมพร เปิดเผยว่า ภายใต้การอำนวยการของนายธีระ อนันตเสรีวิทยา ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร นายสมพร ปัจฉิมเพ็ชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร นายพิทักษ์ พิศสิริวัฒนสุทธิ์ ปลัดจังหวัดชุมพร ผอ.ทสจ.ชุมพร, รอง ผอ.กอ.รมน.จังหวัดชุมพร(ฝ่ายทหาร), มอบชุด ฉก.โชคชัย นำโดย นายทวีป ไทยสวี ป้องกันจังหวัดชุมพร ปลัดอำเภอ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สมาชิกกองอาสารักษาดินแดนจังหวัดชุมพรที่ 1 ,ชุด ปทส.ภ.จว.ชุมพร ,ผู้แทน รอง.ผอ.รมน.จังหวัดชุมพร(ท) ,ปลัดอำเภอท่าแซะ และเจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ชพ.9 (สามปาก) ได้ร่วมกันตรวจยึดจับกุมตัวผู้กระทำผิด 9 คน พร้อมรถยนต์บรรทุกปาล์มน้ำมันจำนวน 2 คัน อุปกรณ์ในการตัดปาล์มน้ำมัน และปาล์มทะลายจำนวน 2,950 กิโลกรัม คิดค่าเสียหายตามราคาตลาดท้องถิ่นกิโลกรัมละ 6.90 บาท คิดเป็นเงินค่าเสียหายทั้งสิ้น เป็นจำนวนเงิน 20,355 บาทเหตุเกิดในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่ารับร่อและป่าสลุย บริเวณบ้านเขาพระเจ้า หมู่ที่ 10 ตำบลหงษ์เจริญ อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพรด้วยสืบเนื่องจากจังหวัดชุมพร ได้รับการร้องเรียนเกี่ยวกับการลักลอบตัดปาล์มในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่ารับร่อและป่าสลุย ตำบลหงษ์เจริญและตำบลรับร่อ อำเภอท่าแซะ เดิมเป็นพื้นที่สัมปทานปลูกปาล์มของบริษัทวิจิตรภัณท์ ต่อมาสัมปทานได้หมดอายุ ที่ป่าสงวนแห่งชาติจึงอยู่ในความดูแลของกรมป่าไม้ โดยพื้นที่ดังกล่าวได้มีการลักลอบตัดปาล์มไปจำหน่ายมาเป็นเวลานานตั้งแต่หมดสัมปทานมาแล้วกว่า 5 ปี และได้มีการร้องเรียนอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่มีการตรวจสอบหรือดำเนินการตามกฎหมาย ทำให้ป่าถูกทำลายแผ้วถางเข้าไปยึดถือครอบครอง และเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ ทำให้รัฐได้รับความเสียหาย
ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรจึงได้มอบหมายให้ชุดเฉพาะกิจโชคชัยเข้าตรวจสอบข้อเท็จจริง และบูรณาการร่วมกับหน่วยงานความมั่นคง กอ.รมน.จังหวัดชุมพร ทสจ.ชุมพร ฝ่ายปกครองและตำรวจ จากการสืบสวนข้อเท็จจริงตามข้อร้องเรียน มีการลักลอบตัดปาล์ม พบร่องรอยแผ้วถางและลักลอบตัดปาล์มมาก่อนหน้านี้นานแล้ว โดยมีถนนเข้า-ออก สัญจรได้อย่างสะดวกรอบบริเวณที่มีการบุกรุกจริง ซึ่งชุดจับกุมได้สนธิหน่วยเคลื่อนที่เร็วไปตรวจสอบพื้นที่ปรากฎว่าพบกลุ่มบุคคลเข้าไปเก็บผลผลิตปาล์มน้ำมัน คณะเจ้าหน้าที่ได้ไปสมทบ ทางเข้าไปพื้นที่เกิดเหตุ บริเวณดังกล่าว พบกลุ่มบุคคลกำลังร่วมกันตัดปาล์ม เจ้าหน้าที่ชุดดังกล่าว จึงได้เข้าควบคุมผู้กระทำผิด พร้อมของกลางและ ได้ใช้เครื่องมือตรวจวัดพิกัดจากสัญญาณดาวเทียม (GPS) 11 จุด ปรากฏว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่ารับร่อและป่าสลุย และอยู่ในแปลงปลูกป่าฟื้นฟูของกรมป่าไม้ปี 2559 2560 จำนวน 3 แปลง คิดพื้นที่เสียหาย 193-0-29 ไร่ และเทียบเคียงลงพิกัดในภาพถ่ายดาวเทียม คณะเจ้าหน้าที่จึงได้จัดทำบันทึกการตรวจ ยึด/จับกุม พร้อมภาพถ่ายที่เกิดเหตุ มอบหมายให้นายวิชาญ ชูสงค์ ตำแหน่งพนักงานพิทักษ์ป่า ส3 หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ชพ.9 (สามปาก) ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรสลุย อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
คณะผู้จับกุมได้นำผู้ต้องหา พร้อมของกลางมายังที่ทำการหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ชพ 9 (สามปาก) ตั้งอยู่ที่ 39 หมู่ที่ 1 ตำบลสลุย อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร เพื่อทำการตรวจสอบพิกัดแนวเขต และสภาพพื้นที่ป่าที่เกิดเหตุ จึงได้ร้องขอเจ้าหน้าที่ป่าไม้ให้นำเครื่องมือจับพิกัด (GPS) ที่มีความรู้ด้านการหาค่าพิกัดทางดาวเทียม และมีหน้าที่ดูแลพื้นที่ดังกล่าว พร้อมด้วยปลัดอำเภอท่าแซะ (ผู้แทนนายอำเภอท่าแซะ) และคณะเจ้าหน้าที่ กอ.รมน. ชุด ฉก.โชคชัย สมาชิก อส. ที่ร่วมทำการจับกุม พร้อมผู้ต้องหาจำนวน 2 คน และเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์จังหวัดชุมพร ไปชี้แนวเขตและหาพิกัด (GPS) ตำแหน่งบริเวณพื้นที่เกิดเหตุให้ถูกต้องชัดเจนอีกครั้ง จากการตรวจสอบพบป้ายและหลักเขตแสดงแปลงปลูกป่าในบริเวณที่เกิดเหตุ จำนวน 3 ป้าย โดยเขียนว่า “โครงการปลูกฟื้นฟูสภาพป่า ประจำปี 2559 หน่วยฟื้นฟูสภาพป่าสงวนแห่งชาติป่ารับร่อและป่าสลุยที่ 1 จังหวัดชุมพร เนื้อที่ 150 ไร่ ท้องที่หมู่ที่ 10 ตำบลหงษ์เจริญ อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร ของสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 11 (สุราษฎร์ธานี)” และป้าย“โครงการปลูกฟื้นฟูสภาพป่า ประจำปี 2560 จำนวน 2 ป้าย ข้อความเช่นเดียวกัน เนื้อที่ป้ายละ 150 ไร่ ท้องที่หมู่ที่ 10 ตำบลหงษ์เจริญ อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร ของสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 11 (สุราษฎร์ธานี)” และได้พบของกลางทลายปาล์ม ที่แทงกองรวมกับพื้นที่ยังไม่ได้เก็บออกจากพื้นที่ และจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำผู้ต้องหาไปชี้ที่เกิดเหตุ และเก็บผลปาล์มดังกล่าวเพิ่มเติมจำนวน 1 คัน น้ำหนัก 330 กิโลกรัม มีร่องรอยการแทงปาล์ม ตัดแต่งกิ่ง กองทางปาล์ม และรอยรถเข้า-ออก หลายสาย ทุกแปลง รวมทั้งพบสภาพร่องรอยการบุกรุกแผ้วถางเป็นประจำ เนื่องจากสภาพพื้นที่โล่งเตียนไม่มีลูกไม้ปาล์ม และไม้ป่าอื่นเกิดขึ้นใหม่เลย จึงเชื่อได้ว่ามีการเก็บเกี่ยวผลผลิตผลปาล์มในพื้นที่บริเวณดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
โดยพื้นที่ดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตให้สัมปทานต่อ เนื่องจากส่วนหนึ่งเป็นพื้นที่ที่ต้องอนุรักษ์ไว้เป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญ อันเป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญของจังหวัดชุมพร ไหลสู่คลองท่าตะเภาและโครงการพัฒนาพื้นที่หนองใหญ่ตามพระราชดำริ(แก้มลิง)อีกด้วย ซึ่งมีจำนวนหลายหมื่นไร่มีการลักลอบตัดปาล์มน้ำมันทำให้ระบบนิเวศน์เสียหายและรัฐเสียผลประโยชน์เป็นจำนวนมากเป็นเวลาหลายปีนับตั้งแต่เอกชนไม่ได้รับอนุญาตให้สัมปทานตามระเบียบกฎหมาย สมควรที่จะต้องจัดระบบการดูแล ปกป้องป่าไม้ดังกล่าวโดยการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เกิดความยั่งยืนสร้างการรับรู้โดยการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างเข้มแข็งอนุรักษ์ผืนป่าดังกล่าวให้เป็นสมบัติของชาวชุมพรสืบไป ดังพระราชปณิธาน “ด้วยพระเมตตาบารมี ชุมพรวันนี้สุขร่มเย็น”
สาธิต ศรีหฤทัย ผู้สื่อข่าวภูมิภาค จ.ชุมพร