หน่วยงานบริการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโคเปอร์นิคัสของสหภาพยุโรป (C3S) เผยแพร่ข้อมูลระบุว่า ยุโรปประสบกับคลื่นความร้อนในฤดูหนาวที่รุนแรง ในช่วงปลายเดือนธันวาคมปีที่แล้ว และต้นเดือนมกราคมปีนี้ อุณหภูมิในฤดูหนาว สูงขึ้นจนเป็นประวัติการณ์ โดยอุณหภูมิเฉลี่ยในยุโรป ตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว ถึงเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ อยู่ที่ 1.4 องศาเซลเซียส ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของฤดูหนาวในปี 1991-2020 อย่างไรก็ดี แม้ว่าอุณหภูมิโดยรวมในยุโรปจะสูงกว่าปกติ โดยสูงเป็นพิเศษในยุโรปตะวันออกและทางเหนือของกลุ่มประเทศนอร์ดิก แต่บางภูมิภาคก็ยังมีอุณหภูมิที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย เช่นบางส่วนของรัสเซียและกรีนแลนด์
ด้านคณะกรรมาธิการยุโรปกล่าวว่า เมื่อวันที่ 2 มกราคม อุณหภูมิของพื้นที่หลายร้อยแห่ง ได้ทำลายสถิติทั่วทั้งทวีป รวมถึงเมืองอัลท์ดอร์ฟของสวิตเซอร์แลนด์ด้วย โดยเมืองแห่งนี้ มีอุณหภูมิสูงถึง 19.2 องศาเซลเซียส นับเป็นการทำลายสถิติด้านอุณหภูมิในฤดูหนาวสูงสุด เมื่อนับตั้งแต่ปี 1864 ทั้งนี้ การที่ฤดูหนาวไม่รุนแรงนั้น ได้มีส่วนช่วยบรรเทาทุกข์ในระยะสั้นให้กับประเทศต่างๆ ที่ประสบปัญหาราคาก๊าซสูง หลังจากที่รัสเซียลดการส่งมอบเชื้อเพลิงไปยังยุโรปเมื่อปีที่แล้ว โดยอุณหภูมิที่สูงขึ้นนี้ ทำให้ความต้องการใช้ก๊าซเพื่อให้ความร้อนในหลายประเทศลดลง
อย่างไรก็ดี หากมองถึงระยะยาว อุณหภูมิที่สูงได้ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อสัตว์ป่าและการเกษตร โดยดร.ทิลลี คอลลินส์ รองผู้อำนวยการศูนย์นโยบายสิ่งแวดล้อมแห่งอิมพีเรียลคอลเลจของอังกฤษระบุว่า สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงหมายความว่า พืชและสัตว์ต่างดิ้นรนที่จะย้ายไปยังสถานที่ใหม่เพื่อรักษาอุณหภูมิที่เหมาะสม ซึ่งหากเป็นสปีชีส์ที่มีประชากรน้อยหรือมีขอบเขตจำกัด สิ่งเหล่านี้อาจนำไปสู่การสูญพันธุ์ได้ง่ายในที่สุด