นายทรงศักดิ์ ทองศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มอบหมายให้รัฐมนตรีแต่ละคนรับผิดชอบนำประชาชนที่ติดเชื้อโควิด-19 กลับไปรักษาตัวในพื้นที่ภูมิลำเนาของตัวเอง ถือว่ามีประเด็นการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ ว่า ตนไม่ได้มองว่าเป็นการเมือง ตนมองว่าการรับคนแต่ละจังหวัดกลับส่วนใหญ่เป็นเรื่องความสัมพันธ์ที่มีความเข้าใจกัน อยากให้รัฐมนตรีที่มีภูมิลำเนาอยู่แต่ละแห่งลงไปช่วยประสานงาน ซึ่งการสั่งการของพล.อ.ประยุทธ์ไม่ถึงกับเป็นคำสั่ง ตนได้ฟังพล.อ.ประยุทธ์พูดในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวานนี้ (20 ก.ค.) เห็นว่าเป็นการหารือร่วมกันว่าแนวทางควรจะเป็นอย่างไร
“ในความเป็นจริงแม้จะไม่มีการหารือในครม. ในทางปฏิบัติรัฐมนตรีหรือผู้แทนราษฎร ก็ดูแลพื้นที่ของตนเองกันอยู่แล้ว เพียงแค่เป็นแนวทางที่ชัดเจนมากขึ้นว่ารัฐบาลก็มีความตั้งใจจริงและอยากให้ปัญหาวิกฤตที่แพร่ระบาดมีเจ้าภาพในการดูแลแต่ละพื้นที่ ทั้งนี้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดไม่ได้เกี่ยวกับการเมือง แต่เป็นเรื่องของไวรัสที่มีทุกประเทศ หากบอกว่าเป็นเรื่องการเมือง ทุกประเทศก็เป็นการเมืองหมดใช่หรือไม่ ก็คงไม่ใช่” นายทรงศักดิ์ กล่าว
นายทรงศักดิ์ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นความร่วมมือกันและนายกฯ ก็ได้ถามความสมัครใจด้วย ว่าใครสมัครใจไปที่ไหน อย่างไร จึงเป็นที่มาว่าทุกคนอยากมีส่วนร่วม อยากให้การแพร่ระบาดยุติและกลับมาสู่สภาวะปกติในเร็ววัน ซึ่งมองว่าสังคมประเทศไทยบ้านเราไม่เหมือนต่างประเทศ ตนมองว่ามีความสัมพันธ์กัน มีความคุ้นเคยและผูกพันธ์กัน หากเราได้อาศัยตัวแทนของประชาชนไม่ว่าจะเป็นผู้แทนราษฎรและรัฐมนตรี ตนมองว่ามีความใกล้ชิดกันอยู่แล้ว ฉะนั้นการสื่อสารไม่ว่าจะเป็นคนที่มีความผูกพันใกล้ชิดกันในพื้นที่สามารถที่จะทำความเข้าใจและร่วมมือกันด้วยงานที่ถูกต้อง ทำให้ปัญหาแก้ไขได้เร็วขึ้น ขณะที่โรงพยาบาลสนามในแต่ละจังหวัดก็ได้มีการดำเนินการอยู่แล้วโดยภาพรวม ซึ่งจ.บุรีรัมย์ก็ทำ โดยตนมีภูมิลำเนาอยู่ที่จ.บุรีรัมย์แต่ตนมาดูอีสานใต้และอีสานบนด้วย ก็ได้ลงไปดูและประสานงานหมด คำว่ารัฐมนตรีแบ่งพื้นที่รับผิดชอบไม่ได้หมายความว่าแบ่งจังหวัดไปเลย แต่ในพื้นที่ไหนที่สามารถช่วยเหลือกันได้ก็ร่วมมือกันทำ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ในส่วนของพรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยได้มีนโยบายอยู่แล้วว่า ให้ส.ส.แต่ละคนเกาะติดพื้นที่ และพรรคภูมิใจไทยก็ทำงานกับพื้นที่มาตลอดไม่ใช่ว่าต้องมีเพราะวิกฤตโควิดก็ทำกันอยู่แล้ว แต่พอมีวิกฤตโควิดก็ถือเป็นการที่ต้องเข้าไปทำงานแบบเข้มแข็งและรัดกุมมากขึ้น รวมทั้งต้องเข้าไปทำความเข้าใจกับประชาชนด้วย เพราะเมื่อมีโรงพยาบาลสนาม บางคนก็ไม่เข้าใจและกลัวว่าจะเอาคนติดเชื้อไปอยู่ในพื้นที่ใกล้ตัวของตนเอง แต่เมื่อได้มีส.ส.หรือตัวแทนของพรรคเข้าไปสื่อสารก็ทำให้การทำงานสามารถแก้ไขได้เร็วขึ้น