พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษก ศบค. เปิดเผยว่า เนื่องจากมีผู้ป่วยโควิด19 ประสงค์ขอเดินทางไปรักษาตัวเองในภูมิลำเนา จึงมีการส่งตัวไปรักษาตามจังหวัดต่างๆ ส่งผลให้สถานการณ์การติดเชื้อในต่างจังหวัด ขณะนี้พบว่า โรงพยาบาลแต่ละจังหวัดเริ่มเต็มศักยภาพแล้ว เนื่องจากมีผู้ป่วยติดจำนวนมากเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันวันพรุ่งนี้ ทีมปฏิบัติการค้นหาเชิงรุก (CCRT) จำนวน 69 ทีมจากทั้งภาครัฐ กรุงเทพมหานคร จิตอาสา ภาคเอกชน และประชาสังคมต่าง ๆ จะลงพื้นที่ตรวจโควิดเชิงรุกโดยใช้อุปกรณ์ Antigen test kit เมื่อพบผู้ป่วยติดเชื้อจะดำเนินการส่งตัวผู้ป่วยเข้าดำเนินการรักษาทันทีแยกออกจากผู้ที่มีผลปกติ แต่ถ้าหากผลตรวจเป็นลบควรจะตรวจซ้ำในช่วง 3-5 วันหลังจากตรวจรอบแรกเนื่องจากอาจมีความ คลาดเคลื่อนของการตรวจได้
โดยจะเริ่มลงพื้นที่ 69 ชุมชนและให้ครบ 200 ชุมชน ตามแนวทางของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว. กลาโหมในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 หรือ ผอ.ศบค. ส่วนคลินิกเสริมความงามร้านตัดผมร้านทำเล็บ ร้านสัก มาตรการจะควบคุมเฉพาะแค่ในพื้นที่ 6 จังหวัดที่มีคำสั่งล็อคดาวน์จะสามารถเปิดได้หรือไม่
อีกทั้งในส่วนที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าจะเปิดได้เฉพาะซุปเปอร์มาร์เก็ตที่จะจำหน่ายอาหาร เครื่องอุปโภค บริโภคยารักษาโรค หรืออุปกรณ์สื่อสารเพื่อความจำเป็นฉุกเฉินเท่านั้น แต่ร้านประเภทขายหนังสือ แว่นตา เสื้อผ้ารองเท้า เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์สำนักงาน เครื่องเขียน เครื่องครัวอุปกรณ์กีฬา เครื่องสำอาง อาหารสัตว์อาหารเสริม ร้านอาบน้ำตัดขนสัตว์คลินิกรักษาสัตว์ ในห้างฯจำเป็นต้องปิดร้านประเภทดัง เนื่องจากมีคนรวมกลุ่มกันมากจึงต้องขอความร่วมมือ
อย่างไรก็ตาม สำหรับคลินิกทันตกรรม คลินิกรักษาผู้มีบุตรยาก คลินิกเวชกรรมเสริมความงาม ที่ไม่ได้อยู่ในห้างสรรพสินค้าให้เป็นอำนาจการตัดสินใจของคณะกรรมการโรคติดต่อแต่ละจังหวัด เป็นผู้พิจารณาว่าจะสามารถเปิดได้หรือไม่ ซึ่งร้านที่อยู่ภายนอกห้างสรรพสินค้ายังคงเปิดได้ เพราะมีการรวมกลุ่มการจำนวนน้อยในห้างสรรพสินค้ามีคนจำนวนมาก แต่หากในพื้นที่ใด มีการแพร่ระบาดจำนวนมากอาจมีการพิจารณาสั่งปิดร้านตามความเหมาะสมได้