การออกมาประกาศมาตราการควบคุมสูงสุดของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม หลังนั่งหัวโต๊ะประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) อาจจะทุเลาเบาบางลดปัญหาเฉพาะหน้าลงไปได้บ้าง แต่โดยภาพรวมต้องบอกว่าการบริหารสถานการณ์แก้ไขปัญหาโควิด-19ของรัฐบาล ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางวันนี้ถือว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
ย้อนอดีตกลับไปตอนที่เชื้อโควิด-19 เริ่มต้นระบาดในประเทศไทย จากตัวเลขผู้ติดเชื้อหลักสิบหลักหน่วยไม่มีคนตาย ไทยถูกยกให้เป็นประเทศจัดการปัญหาโควิด-19 ได้ดีที่สุด บางช่วงทะยานไปถึงอันดับ 1 เบอร์ต้นของโลก ทั่วโลกนานาชาติหลายประเทศออกปากชื่นชม มาถอดบทเรียนจากเรามาขอองค์ความรู้มาขอแนวทางการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาโควิด-19 จากเรา คนไทยทั่วทุกสารทิศมั่นใจในตัวพล.อ.ประยุทธ์ภูมิใจในการบริหารจัดการปัญหาของศบค. ทุกคนใช้ชีวิตวิถีใหม่บนความเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมไม่ว่ายังไงพล.อ.ประยุทธ์เอาอยู่ ศบค.จัดการได้ เมืองไทยไม่มีวันเกิดวิกฤติ ไม่มีวันเห็นคนบาดเจ็บล้มตายมหาศาลเหมือนต่างประเทศอย่างแน่นอน
บ่อยครั้งความจริงกับความฝันมักเดินสวนทางกัน ใช้เวลาปีเศษผ่านไปไม่นานวันนี้วินาทีนี้ทุกอย่างในประเทศไทย ทุกอย่างวิบัติกลับตาลปัตรไปหมด คิดติดเชื้อสะสมหลายแสน ติดรายวันเฉียดหมื่น เสียชีวิตเกือบร้อย ตัวเลขศบค.ไม่เคยโกหกใคร ล่าสุดตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ของศบค.วันนี้ 13 ก.ค.2564 ติดเชื้อรายใหม่ 8,685 ราย แบ่งเป็นติดเชื้อใหม่ 8,539 ราย ในเรือนจำ 146 ราย ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิต 56 ราย ( อันดับ 1 คือวันที่ 17 พ.ค.2564 ติดเชื้อ 9,635 ช่วงคลัสเตอร์เรือนจำแตก ติดเชื้อจากเรือนจำตอนนั้น 6,853 คน ติดเชื้อใหม่2,782 ราย ) แต่สถานการณ์ในวันนี้สลับข้างกัน หากนับตั้งแต่เริ่มของการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปี 2563 ไทยมีผู้ป่วยสะสม 353,712 ราย หายป่วยสะสม 255,455 ราย มีคนไทยเสียชีวิตสะสมจากเชื้อโควิด-19 ตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบันจำนวน 2,847 ราย ยังติดเชื้ออยู่ระหว่างการรักษาสูงถึง 95,410 ราย เศร้าใจมากไปกว่านั้นคือในจำนวนนี้มีชีวิตญาติพี่น้องเราแขวนอยู่บนเส้นด้ายอยู่หรือตาย ที่มีอาการหนักสูงถึง 3,042 ราย อยู่ในอาการโคม่าน่าห่วงต้องใส่เครื่องช่วยหายใจอยู่ในไอซียู 794 ราย ส่งผลให้ไทยอยู่ในอันดับที่ 60 ของตัวเลขสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลก ทั้งๆ ที่เคยอยู่อันดับท้ายๆสุดของประเทศที่พบการระบาดน้อย
ถามว่าเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ใครจะต้องเป็นคนรับผิดชอบ เหลียวซ้ายแลขวาถามคนทั้งประเทศคำตอบที่ได้รับคนแรกที่ต้องรับผิดชอบเป็นใครไปไม่ได้นอกจากชายที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ งานนี้รับคนเดียวไปเต็มๆ เพราะบริหารจัดการรวบอำนาจไปทั้งหมดจบที่คนเดียวหมดแล้ว แต่ปีเศษที่ผ่านมาดูเหมือนพล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยเรียนรู้ ระลอกแรกช่วงเดือนมี.ค.2563 ไข่แตกจากคลัสเตอร์สนามมวยลุมพินี เซียนมวยคนดูติดกันอุตลุต จากนั้นช่วงปลายปี 2563 ราวเดือนธ.ค. ก็เกิดคลัสเตอร์แรงงานเถื่อนผิดกฎหมายในภาคอุตสาหกรรมประมงที่จ.สมุทรสาคร ต่อด้วยระลอกสองปลายปี2563ต่อเนื่องถึงต้นปี2564 จากคลัสเตอร์บ่อนการพนันภาคตะวันออก จนมาถึงระลอกสามช่วงปลายเดือนก.พ.ถึงต้นเดือนมี.ค.ปีนี้ จากคลัสเตอร์สถานบันเทิงย่านทองหล่อ เอกมัย รัชดา ก่อนกระจายทั่วกรุงเทพฯและแตกตัวไปยังต่างจังหวัด ล่าสุดก็เป็นคลัสเตอร์โรงงานต่างๆและแคมป์คนงานก่อสร้าง ที่สุดประเทศไทยก็เข้าสู่ภาวะฝีแตกโควิดกระจายแพร่ระบาดไปทั้งประเทศ จากผู้ติดเชื้อหลักสิบคนติดหลักหน่วยคนตายไม่มี วันนี้คนตายเกือบร้อยคนติดเกือบหมื่น ถามว่าแต่ระลอกที่โควิด-19 ระบาด พล.อ.ประยุทธ์เรียนรู้อะไร ศบค.ถอดบทเรียนแต่ละเรื่องได้แค่ไหน ผู้มีอำนาจแก้ไขปัญหาได้ทำอะไรเพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาดรักษาชีวิตคนไทยไปแล้วบ้าง
เรื่องของการบริหารจัดการวัคซีนที่เปรียบเสมือนเกราะป้องกันโควิด-19 ให้กับคนไทย แม้พล.อ.ประยุทธ์จะสามารถจัดการนำเข้าวัคซีนซิโนแวคจากจีนมาฉีดให้คนไทยไปแล้วกว่าสิบล้านโดส ที่ถือว่าเป็นเรื่องดีในการจัดหาวัคซีนมาฉีดให้คนไทยได้เร็ว แต่คำชมก็ไปไม่สุดพูดได้ไม่เต็มปาก เพราะถูกคนเห็นต่างด้อยค่าว่าเป็นวัคซีนคุณภาพต่ำป้องกันโควิด-19 ไม่ได้ ทั้งๆที่ความจริงแม้คุณภาพป้องกันอาจจะต่ำ แต่การบรรเทาอาการเจ็บป่วยโควิด-19 จากหนักเป็นเบา ซิโนแวคก็ให้ประสิทธิภาพสูงเกือบ 90% ใกล้เคียงวัคซีนฝั่งยุโรปเลย ถึงกระนั้นประเด็นวัคซีนหลักของไทยก็ยังดราม่าไม่จบ เพราะวัคซีนหลักอีกตัวอย่างแอสตราเซเนก้าที่โรงงานตั้งอยู่ในบ้านเราดันเกิดประเด็น “ไม่มาตามนัด” จัดส่งไม่ทันกับ วัน ว. เวลา น. ที่พล.อ.ประยุทธ์เอาไปพูดเอาไปประกาศไว้กับประชาชนว่าจะได้รับเดือนละ 10 ล้านโดสถึงปลายปี แถมแอสตราเซเนก้าเอาจริงๆคือวัคซีนหลักเบอร์หนึ่งของรัฐบาลไทยที่ป่าวประกาศจะฉีดให้กับประชาชนทั่วแผ่นดิน พอแอสตราเซเนก้าไม่มาตามนัดไม่คลอดตามเป้าหมาย แผนการฉีดวัคซีนของพล.อ.ประยุทธ์ของศบค.ก็รวนไปหมดพังไม่เป็นท่า ผลการฉีดวัคซีนล่าสุดเมื่อ 12 ก.ค. สะท้อนคำตอบทุกอย่างได้เป็นอย่างดี เพราะไทยฉีดวัคซีนไปแล้ว 12,908,193 โดส เป็นแข็มแรก 9,598,949 ราย เข็มสอง 3,309,244 ราย เหลืออีก 87 ล้านโดสเศษ กว่าจะทำได้ตามเป้า 100 ล้านโดสให้กับประชากร 50 ล้านคน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับคนไทยตามเป้าหมายวาระแห่งชาติของรัฐบาล ตรงนี้ก็ถือว่ายังอีกไกลห่างจากเป้าหมายมาก
ไม่นับรวมการสลับไปสลับมาวิธีการฉีดวัคซีนให้คนไทยและการบริหารจัดการวัคซีนไปต่างจังหวัด ฉีดให้หมอและบุคลากรทางการแพทย์ก่อน ฉีดสาดแบบปูพรหมทุกจังหวัด ฉีดเฉพาะจังหวัดสีแดงเข้มติดเชื้อมากก่อน ฉีดเข็มแรกให้หมดก่อนไม่ต้องซ้ำเข็มสอง ฉีดแบบหว่านแหให้คนสูงอายุและ7กลุ่มเสี่ยงโรคเรื้อรัง ฯลฯ สลับปรับเปลี่ยนสับสนวุ่นวายกันไปหมด แถมระหว่างทางของการฉีดก็เกิดข้อครหาตามมามากมาย อาทิ จัดสรรวัคซีนไม่เป็นธรรม จังหวัดนี้คนติดเชื้อมากแต่ได้วัคซีนน้อยแต่จังหวัดคนติดน้อยกลับได้วัคซีนมาก จังหวัดที่มีส.ส.ของพรรคที่ดูแลรับผิดชอบกระทรวงสาธารณสุขได้มากเป็นพิเศษ ชนิดคนครหาคนด่ากันทั้งเมือง เพราะไม่ใช่จังหวัดที่มีการระบาดของเชื้อโควิด-19สูง ไม่ใช่จังหวัดท่องเที่ยวหลัก ไม่ใช่กลุ่มจังหวัดที่มีความเร่งด่วนในการรับวัคซีน เป็นต้น
เรื่อยมาจนถึงการบริหารจัดการเตียงผู้ป่วย เมื่อคนติดเชื้อโควิด-19 มีมากเฉียดแสน อาการหนักหลายพัน ใส่เครื่องช่วยหายใจโคม่าอีกหลายร้อย เป็นธรรมดาที่การบริหารจัดการเตียงย่อมอยู่ในภาวะวิกฤติ เตียงไม่ว่างไม่มีการคายเตียง สุดท้ายทุกโรงพยาบาลทั้งรัฐและเอกชนก็เกิดปัญหาเตียงขาด ขาดเตียง ไม่มีที่ให้รักษาผู้ป่วย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กรณีผู้เสียชีวิตในต้นเดือนก.ค.พุ่งขึ้นเกือบร้อย หลายกรณีเสียชีวิตอยู่ที่บ้านไปรักษาไม่ทันเพราะไม่มีโรงพยาบาลไหนรับไม่มีเตียงให้ไปนอนรอการรักษา แม้จะขยายเตียงสนามช่วยเหลือได้มากขนาดไหน แต่ก็ติดปัญหาเรื่องบุคคลากรด่านหน้า ทั้งแพทย์ พยาบาล มีไม่พอ มิหนำซ้ำเครื่องไม้เครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ก็ขาด
ไม่นับรวมปัญหาระหว่างทางหลากหลายเรื่อง อาทิ พล.อ.ประยุทธ์ขบเหลี่ยมกับนายอนุทิน วัคซีนเป็นวุ่นวัคซีนไร้ประสิทธิภาพ นักการเมืองฝ่ายนโยบายขัดแย้งกับปรจารย์หมอที่เป็นฝ่ายให้คำแนะนำ คนไปนอนรอฉีดวัคซีนตี 3 ท่ามกลางสายฝน คนไปแย่งจองคิวฉีดวัคซีน ชาวบ้านไปต่อแถวรอสวอปเชื้อ ฯลฯ สารพัดปัญหาจิปาถะทั้งหลายทั้งมวลล้วนพุ่งตรงถึงตัวนายกฯ
ด้านตัวพล.อ.ประยุทธ์หลายครั้งก็พลาดทำตัวเองตกเป็นเป้าเป็นตำบลกระสุนตกให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีโดยไม่จำเป็น ยกตัวอย่าง พูดจาในภาวะวิกฤติแบบน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง พูดเล่นเกินงามไม่ตรงกับสถานการณ์และอารมณ์คนไทย อาทิ การพูดนะจ๊ะระหว่างการติดเชื้อกำลังแพร่ระบาด หรือแม้กระทั่งนั่งกินของว่างระหว่างไปตรวจภูเก็ตแซนด์บ็อกริมชายหาด การเผอเรอไม่ระมัดระวังตัวไม่เป็นตัวอย่างให้กับสังคม เช่น การลืมใส่หน้ากากระหว่างประชุมจนถูกปรับ เป็นต้น
ร้ายไปกว่านั้นคือการที่ตัวพล.อ.ประยุทธ์เองลดความเด็ดขาดเฉียบคมลงไปมากในช่วงบริหารจัดการโควิด-19 อดีตผบ.ทบ.ผู้ยิ่งใหญ่ หัวหน้าคสช.ผู้นำปฏิวัติที่เกรียงไกร วันนี้ดูเหมือนหมดสภาพราคาตก เพราะถูกชาวบ้านหัวเราะเยาะเย้ยมองว่ากำลังถูกนักการเมืองขี่คอ ไม่มีลูกทีเด็ดไร้ความแหลมคม ไม่โชว์ภาวะผู้นำให้ประชาชนคนไทยที่กำลังหมดหวังได้เห็นแสงสว่างเลย หนักไปกว่านั้นคือการทำงานแบบเพล์เซฟปลอดภัยไว้ก่อน ไม่กล้าหักไม่กล้าตัดสินใจ หลายเสียงวงในศบค.สรุปปัญหาไทยติดกับโควิด-19 เอาชนะไม่ได้ว่า ” หลายเรื่องนายกฯบริหารแบบเพลย์เซฟมากๆ คือจัดการแบบไม่สุด สมมุติมีการเสนอแนวทางแก้ไขปัญหามาเรื่องหนึ่ง แทนที่นายกฯจะทำเรื่องนั้นแบบเต็มกำลัง 100 % ท่านจะทำเรื่องนั้นแค่ 50 % บาลานซ์ทุกเรื่องหมด ไม่ทำให้สุดทาง อาจเพราะกลัวอีกฝ่ายได้ผลกระทบหรือกลัวอีกฝั่งบ่นด่า ทั้งๆที่ความจริงหากยอมเจ็บสั้นๆยอมถูกด่าไม่นานมันจะดีกว่ายอมเจ็บแต่จบ แต่ท่านนายกฯไม่เลือกทำแบบนั้น ทั้งท่านนายกฯและท่านอนุทินบริหารวิธีแก้ปัญหาทุกเรื่องแบบการเมือง บาลานซ์ทุกเรื่องแบบการเมือง การแก้ไขปัญหาโควิด-19 จึงไปไม่สุด” วงในศบค.สะท้อนปัญหา
สถานการณ์ ณ วันนี้ต้องบอกว่าพล.อ.ประยุทธ์เสียรังวัดไปมาก เพราะทำให้คนไทยที่เคยรักส่ายหน้าเอือมระอา คนที่เคยเอาใจช่วยก็เหนื่อยหน่าย คนที่เคยชอบพอก็ท้อแท้ ที่ไม่ชอบก็ยิ่งเกลียด ที่เกลียดก็กลายเป็นสาปแช่ง อย่าได้แปลกใจหากดราม่า Call out ขับไล่พล.อ.ประยุทธ์จะเกิดขึ้นทั่วทุกวงการ ดารา นักร้อง หมอ อาจารย์ ศิลปิน ตลก ฯลฯ นับวันยิ่งเปิดตัวเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ เป็นการเพิ่มขึ้นที่สวนทางกับวันเวลาของพล.อ.ประยุทธ์ที่เหลือน้อยเต็มทน อย่าลืมว่านอกเหนือจากการ Call out จากทั่วสารทิศแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ยังมีขาประจำรอวันเหยียบซ้ำอยู่นอกทำเนียบ ทั้ง กลุ่มราษฎร กลุ่มไทยไม่ทนประชาชนสามัคคี กลุ่มประชาชนคนไทย ฯลฯ ในสภาก็มีทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคเสรีรวมไทย เป็นต้น ทุกกลุ่มทุกฝ่ายต่างจองกฐินสามัคคี รอวันพล.อ.ประยุทธ์พลาดทั้งนั้น
แม้ไม่สามารถลากแรงกดดันไปถึงขั้นทำให้พล.อ.ประยุทธ์ลาออกหรือประกาศยุบสภา แต่หากพล.อ.ประยุทธ์ยังลากบ้านเมืองไปด้วยซากปรักหักพังจากสงครามโควิด-19 ปล่อยให้คนไทยเสียชีวิตเพราะโควิด-19ไปเรื่อยๆ แบบนี้โดยไม่ทุ่มสุดตัวไม่ดึงสรรพกำลังจากทุกฝ่าย มาช่วยกันป้องกันมาช่วยกันยับยั้งมหันตภัยร้ายจากโควิด-19 แพร่ระบาดในรอบนี้ อนาคตทางการเมืองของพล.อ.ประยุทธ์คงจบไม่สวยบันไดลงคงท่วมด้วยคราบน้ำตากับความโศกเศร้า ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ยังไม่ตื่นมีหวังบ้านเมืองพังพินาศเป็นแน่แท้ ประเด็นที่คนไทยรักบ้านเมืองคนไทยที่ให้กำลังใจพล.อ.ประยุทธ์ อยากตะโกนถามท่านนายกฯดังๆ …….วันนี้ท่านตื่นหรือยัง ? พล.อ.ประยุทธ์ (ตัวจริง) โปรดจงกลับมา
/////////////////////////