‘นักกฎหมาย’ ชี้ตามกฎหมาย กสทช.ไม่มีอำนาจอนุมัติควบรวมทรู-ดีแทค แต่ออกเงื่อนไขได้!

 

แหล่งข่าวจากบริษัทที่ปรึกษากฎหมายซึ่งเชี่ยวชาญด้านการควบรวมกิจการ กล่าวถึงความเคลื่อนไหวในการควบรวมกิจการผู้ให้บริการโครงข่ายโทรศัพท์มือถือ ระหว่างบริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล  คอมมิวนิเคชั่น (ทรู)และบริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด (ดีแทค) ว่า สร้างความสับสน และ มีการตีความไปหลายรูปแบบ ซึ่งการควบรวมในกิจการโทรคมนาคม คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช. ) จะต้องอ้างอิงหลักกฎหมายให้แม่นยำ เพราะเป็นหน่วยงานกำกับดูแลตามกฎหมาย และยังเป็นผู้ที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายด้วย ซึ่ง กสทช.ต้องแยกประเด็นความแตกต่างระหว่างการควบรวมกิจการ กับ การซื้อกิจการ เพราะหากยังแยกประเด็นนี้ไม่ออก กสทช.จะเสี่ยงต่อการผิดกฎหมายโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็เป็นได้ ทั้งนี้ประกาศ กสทช.ปี 2561 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับนั้น กำหนดว่า การควบรวมกิจการ หมายถึง การที่บริษัทตั้งแต่สองบริษัทขึ้นไปตกลงรวมกิจการกัน เกิดเป็นบริษัทใหม่ โดยบริษัททั้งสองจะร่วมกันเป็นเจ้าของบริษัทใหม่ เช่น กรณีควบรวมของทรู และ ดีแทค หลังการควบรวมจะถือหุ้นใกล้เคียงกัน บริหารแบบไม่มีรายใดรายหนึ่งบริหารเบ็ดเสร็จ แต่เป็นแบบ Equal Partnership ขณะที่ การซื้อกิจการ คือ การที่บริษัทหนึ่งเข้าซื้อกิจการของอีกบริษัทหนึ่ง โดยบริษัทที่เข้าซื้อจะเข้าไปเป็นเจ้าของบริษัทที่ถูกซื้อ โดยหุ้นของบริษัทที่ถูกซื้อจะไม่ถูกยกเลิกไป เช่น เอไอเอส จะเข้าซื้อ 3BB จะทำให้ชมาเป็นเจ้าของ 3BB ต่างกับ กรณีของทรู และ ดีแทค ที่ไม่มีการเข้าซื้อกิจการของอีกฝั่ง

 

“ดังนั้น การควบรวมกิจการ ของ ทรู และ ดีแทค คือ การที่บริษัทสองบริษัทมาควบรวมกันและเกิดเป็นบริษัทใหม่ โดยบริษัททั้งสองจะร่วมกันเป็นเจ้าของบริษัทใหม่ ซึ่งเมื่อเกิดการควบรวมแล้ว หุ้นของบริษัททั้งสองจะถูกยกเลิกไปโดยจะมีการออกหุ้นของบริษัทใหม่ให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัททั้งสองแทน ซึ่งการควบรวมนั้นมักจะเกิดขึ้นระหว่างบริษัทที่มีขนาดใกล้เคียงกัน”

 

แหล่งข่าวกล่าวว่า สิ่งที่สังคมต้องการความชัดเจนว่า กสทช. มีหรือไม่มีอำนาจในการอนุมัติ หรือไม่อนุมัติหรือไม่ ทำให้นักวิชาการบางส่วนหยิบยกบางบรรทัดของคำตัดสินศาลปกครองกลางเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.65 ที่ยกคำขอทุเลาการบังคับตามประกาศ กสทช. เรื่อง มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม ตามคำร้องของนายณภัทร วินิจฉัยกุล นักกฎหมาย และอดีตกรรมการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงาน กสทช. (กตป.) โดยเห็นว่ายังรับฟังไม่ได้ว่าประกาศฯ กสทช.ฉบับดังกล่าว น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้งข้อเท็จจริงจากการไต่สวนได้ความว่า ผู้ร้องสอดทั้งสอง (ทรู และดีแทค) ยังมิได้จดทะเบียนทำให้เกิดนิติบุคคลใหม่ขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือได้มีการทำสัญญาซื้อขายหุ้น ซึ่งจะมีผลทำให้เกิดการรวมธุรกิจตามกฎหมาย จึงไม่มีความเสียหายอย่างร้ายแรงยากแก่การแก้ไขในภายหลังตามที่ผู้ฟ้องกล่าวอ้าง

 

“สรุปให้ชัด ๆ คือ มาตรการกำกับดูแลการรวมธุรกิจ ปี 60 นั้น ถูกต้องแล้วด้วยกฎหมายนั่นเอง ดังนั้น กสทช. ต้องไปทำความเข้าใจมาตรการการควบรวมธุรกิจให้ชัดเจน อย่าไปยกประกาศผิดฉบับ ที่พูดถึงการเข้าซื้อกิจการเด็ดขาด เพราะหากนำกฎหมายผิดฉบับมาอ้างอิง อาจไม่สามารถปัดความรับผิดชอบทางกฎหมายได้”

 

ส่วนประเด็นว่ากสทช. มีอำนาจอนุมัติ หรือไม่ ก็มีการตีความคำสั่งศาลปกครอง สรุปแบบข้ามบรรทัดว่า “‘กสทช.’ มีอำนาจสั่งห้ามควบรวม ทรู-ดี ทค ซึ่งไม่ตรงกับประกาศของ กสทช. เรื่องการรวมกิจการที่ศาลปกครองรับรองแล้วว่าถูกต้องด้วยกฎหมาย คือ“กรณีที่คณะกรรมการพิจารณาว่า การถือครองธุรกิจในบริการประเภทเดียวกันตามวรรคหนึ่ง อาจส่งผลให้เกิดผูกขาด หรือ ลด หรือ จำกัดการแข่งขันในการให้บริการโทรคมนาคม คณะกรรมการอาจสั่งห้ามการถือครองกิจการ หรือ กำหนดมาตรการเฉพาะตามหมวด 4 ก็ได้ จึงเป็นกรณีที่เมื่อผู้ร้องสอดทั้งสองจะรวมธุรกิจกันซึ่งจะต้องมีการเข้าซื้อหุ้นหรือถือหุ้น หรือเข้าซื้อสินทรัพย์ของผู้ร้องสอดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ผู้ร้องสอดทั้งสองยังคงต้องได้รับอนุญาตจากผู้ถูกฟ้องคดีอยู่นั่นเอง”

 

แหล่งข่าวกล่าวอีกว่าประเด็นที่ยกมาข้างต้นนี้เป็นกรณีของการเข้าซื้อกิจการ ซึ่งจะต้องขออนุญาตจาก กสทช. ในการอนุมัติ แต่หากเป็นการควบรวม ที่ไม่มีการซื้อหุ้น หรือเข้าซื้อสินทรัพย์ของอีกฝั่ง ต้องอ้างอิง ประกาศกสทช.ปี61 ที่ศาลปกครองรับรองแล้วว่าชอบด้วยกฎหมาย อย่างไรก็ตามจากประกาศมาตรการกำกับดูแลการควบรวมกิจการ ข้อ 12 กำหนดให้เลขาธิการ  กสทช.  รายงานต่อ  กสทช.  ภายใน60สิบวันนับแต่วันที่ได้รับ ความเห็นประกอบการรายงานการรวมธุรกิจจากที่ปรึกษาอิสระ  หากการรวมธุรกิจตามข้อ  5  ส่งผลให้ ตลาดที่เกี่ยวของมีดัชนี  (HHI)  มากกว่า  2,500  และเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นจากเดิมมากกว่า 100  และมีอุปสรรคการเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ  รวมทั้งมีการครอบครอง โครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ให้ถือว่าการรวมธุรกิจส่งผลกระทบต่อการแข่งขันให้ตลาดที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ กสทช. อาจพิจารณากำหนดเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะ  สำหรับผู้มีอำนาจเหนือตลาดอย่างมีนัยสำคัญ  ในตลาดโทรคมนาคมที่เกี่ยวข้องมาบังคับใช้ เพื่อป้องกันความเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะ

 

“ดังนั้นแทนที่กสทช. จะอ้างศาลปกครองว่า มีอำนาจในการอนุมัติหรือไม่ ควรใช้เวลาในการหารือ เพื่อกำหนดเงื่อนไข เพื่อลดผลกระทบต่อสาธารณะ จะทำให้สังคมสบายใจ  และ เดินหน้าตามกรอบของประกาศที่กสทช. ระบุไว้เอง เพื่อจะไม่ได้ต้องเข้าสู่ข้อครหาเรื่องการเลือกปฏิบัติ หรือ การมีธงในการคัดค้านการควบรวมมาก่อนการพิจารณา หากประวิงเวลานอกจากจะทำให้เสียความเชื่อมั่นจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศแล้ว ยังทำให้อุตสาหกรรมอ่อนแอลงไปเรื่อย ๆ อีกทั้ง การใช้กฎหมาย ต้องทั้ง กำกับ และ ดูแล มิใช่ ทำให้ผู้ประกอบการอ่อนแอ ทั้งที่มีเครื่องมือกำหนดมาตรการแต่กลับไม่นำมาใช้ การปรับตัวของอุตสาหกรรมเป็นเรื่องธรรมดาในทุกประเทศ หากกังวลก็ออกมาตรการ แต่หาก กสทช. ออกท่าพิสดาร สวนทางประกาศ กสทช. ที่ดำเนินการมาแล้วหลายกรณี อันนี้ก็ตัวใคร ตัวมัน เพราะสุดท้ายไม่รู้ว่า ที่ได้มา จะคุ้มเสียหรือไม่”แหล่งข่าวระบุ

ข่าวที่น่าสนใจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

“ธรรมนัส” นำทีมเข้าเยี่ยมให้กำลังใจ "2 ทหารกล้า" บาดเจ็บ ปกป้องอธิปไตย เหตุปะแนวชายแดนไทน-กัมพูชา
"สถานทูตเกาหลีใต้" แจงโต้ "สื่อเขมร" ปมข่าวขายเครื่องบินโจมตี-ติดขีปนาวุธนำวิถีให้ไทย เป็นข่าวเท็จ
โคราช เปิดโครงการธนาคารหมวกกันน็อคแห่งแรกของประเทศ ให้ยืมหมวกกันน็อค แทนการเสียค่าปรับ หวังลดภาระค่าปรับแพง สร้างวินัยจราจร
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานเงินช่วยเหลือครอบครัวทหารที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย–กัมพูชา
"กกร."จับตาเงื่อนไขเจรจาภาษีทรัมป์เหลือ 19% กระทบแค่ไหน จีดีพีปี 68 คาดขยายตัว 1.8-2.2%
ริโก้ฯ ดึงพลังเยาวชน ขับเคลื่อน Circular Economy ผ่าน Ricoh R-cademy ปีที่ 16 เปลี่ยนขยะเป็นอนาคต ตลับหมึกริโก้กลายเป็นบล็อกปูพื้นและม้านั่ง

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​