“นายกฯตู่” แจงยิบประเด็นซักฟอก เชื่อโลกรู้จุดแข็งประเทศไทย

นายกฯโพสต์เฟซบุ๊กแจงประเด็นที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ชี้จุดแข็งประเทศไทยสร้างความเชื่อมั่นประชาชนและชาวโลก ขณะสั่งทุกหน่วยงานเตรียมรับมือน้ำท่วม สั่งทหารออกช่วยเหลือ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กข้อความว่า พี่น้องประชาชนชาวไทยที่รักทุกท่านครับ ช่วงฤดูฝนนี้ ผมได้กำชับให้ทุกหน่วยงานเตรียมการล่วงหน้า ติดตามสถานการณ์น้ำท่วม-น้ำป่าไหลหลาก และพร้อมช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในทันที แม้เรื่องฟ้าฝนเราจะควบคุมไม่ได้ แต่ความช่วยเหลือต้องไปถึงหน้าบ้านให้เร็วที่สุด ในขณะเดียวกันก็ต้องหาวิธีเติมน้ำเข้าเขื่อนไว้ใช้หน้าแล้งช่วงปลายปีต่อไปด้วย และในฐานะ รมว.กห. ผมได้สั่งการให้หน่วยทหารทั่วประเทศ รวมทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล นำกำลังพลและยุทโธปกรณ์ต่างๆ เช่น เรือท้องแบน รถบรรทุกยกสูง ออกช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องรอการร้องขอ สำหรับอีกภารกิจสำคัญของผมในช่วงนี้ คือ การรับฟังการ

ข่าวที่น่าสนใจ

ตรวจสอบของฝ่ายนิติบัญญัติในรัฐสภา โดยเมื่อวานนี้ (22 ก.ค.65) ผมได้ชี้แจงในหลายประเด็น สรุปสาระได้ดังนี้
1. หนี้สาธารณะและการลงทุนเพื่ออนาคต (ช่วงปี 57-65)
(1) มีการกู้เงินอย่างมาก และเป็นช่วงที่มีการลงทุนมากที่สุดด้วย มูลค่า 2.66 ล้านล้านบาท ใน 179 โครงการ ซึ่งแล้วเสร็จและเห็นผลเป็นรูปธรรมแล้ว 75 โครงการ อยู่ระหว่างดำเนินการอีก 104 โครงการ
(2) มีการชำระหนี้สาธารณะไปแล้ว กว่า 2.6 ล้านล้านบาท (รวมต้นเงินกู้และดอกเบี้ย) ถือเป็นยอดชำระหนี้สูงสุด เมื่อเทียบกับรัฐบาลในอดีต และไม่เคยผิดนัดชำระหนี้แม้แต่ครั้งเดียว
2. ประสิทธิภาพในการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจท่ามกลาง “วิกฤติซ้อนวิกฤต” ของโลก
(1) ปัจจุบัน GDP ไทยมีมูลค่าขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของอาเซียน และ GDP per Capita อยู่อันดับที่ 4
(2) ด้วยการบริหารเศรษฐกิจอย่างสมดุล ส่งผลดีให้ GDP ฟื้นตัว โดย IMF คาดการณ์ว่าในปี 2564 เติบโต 1.6% และในปี 2565 และ 2566 ก็มีแนวโน้มขยายตัวได้สูงที่ 3.3% และ 4.3% ตามลำดับ สอดคล้องกับสภาพัฒน์ฯ ที่คาดว่าจะขยายตัว 2.5-3.5%
3. การบริหารเงินกู้ 1.5 ล้านล้านบาท เพื่อกู้วิกฤตโควิด
(1) 183,000 ล้านบาท สำหรับการจัดหาวัคซีน วิจัยวัคซีน และการรักษาโรค
(2) 854,000 ล้านบาท สำหรับช่วยเหลือเยียวยาด้านเศรษฐกิจให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อย แรงงานประกันสังคม ผู้ประกอบการ ผู้ประกอบอาชีพอิสระ เกษตรกร กลุ่มเปราะบาง ผู้สูงอายุ รวมกว่า 45 ล้านคน เช่น โครงการเราชนะ โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการ ม.33 เรารักกัน และช่วยเหลือค่าน้ำ-ค่าไฟให้ประชาชน เป็นต้น
(3) 280,000 ล้านบาท สำหรับการฟื้นฟูเศรษฐกิจและการจ้างงาน เช่น โครงการคนละครึ่ง โครงการรักษาระดับการจ้างงาน SMEs และโครงการจ้างงานนักเรียน/นักศึกษา เป็นต้น
4. ไทยยังเป็นที่สนใจของนักลงทุน ในการย้ายฐานการผลิตเข้ามาผลิตในประเทศไทย
(1) ยอดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ณ ไตรมาส 1/2565 มีมูลค่ารวม 288,019 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 2.8% จากปี 2564 และขยายตัว 1.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
(2) ตัวเลขขอรับการส่งเสริมการลงทุน BOI ดีขึ้น ทั้งจำนวนโครงการและมูลค่า โดย 2 ไตรมาสแรกของปี 2565 มีมูลค่าคำขอรับการส่งเสริมฯ แล้ว 219,708 ล้านบาท จาก 784 โครงการ กลับมา สูงกว่าช่วงก่อนโควิดในปี 2562 ที่มีมูลค่า 188,861 ล้านบาท จาก 690 โครงการ
(3) สถิติการปิดกิจการในเดือน เม.ย.65 มีทุนจดทะเบียนมากที่สุด all-time high ที่ 171,106 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากห้วงเดียวกันของปีที่แล้ว 726.7% สอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภาพรวม และเดือน พ.ค.65 มีการตั้งกิจการใหม่ 5,917 ราย เพิ่มขึ้น 6.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 64
(4) ความร่วมมือกับชาติพันธมิตร ด้านพลังงานสะอาดและอุตสาหกรรมใหม่ โดยเฉพาะซาอุดีอาระเบีย สิงคโปร์ และญี่ปุ่น มีความคืบหน้าอย่างมาก โดยคาดว่าจะสร้างเม็ดเงินลงทุนมากกว่า 2 ล้านล้านบาท เพิ่ม GDP ไทย 1.7 ล้านล้านบาท

4. ราคาน้ำมัน (ราคาเฉลี่ย ณ 18 ก.ค.65) : ดีเซล 34.94 บาท/ลิตร และเบนซิน 38.75 บาท/ลิตร ถือว่าไทยราคาถูก เป็นอันดับที่ 8 จาก 10 ประเทศ โดยมาเลเซียและบรูไนราคาถูกกว่าไทย เพราะผลิตน้ำมันได้เองภายในประเทศ
5. เงินเฟ้อ (ณ มิ.ย.65) : ไทยปรับขึ้นเป็น 7.66 % ดีกว่าหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ อังกฤษ ยุโรป เงินเฟ้อสูง 8-9% อินเดีย 15.9% ทั้งนี้จากการสำรวจของแม็คคินซีย์ โกลบอล เซอร์เวย์ (McKinsey Global Survey) อัตราเงินเฟ้อของไทย เป็นอันดับที่ 103 จาก 185 ประเทศทั่วโลก หรือ “เงินเฟ้อระดับปานกลาง” เท่านั้น โดยนักวิเคราะห์ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยในปี 2566 มีแนวโน้มที่จะปรับลดลงอีกด้วย
จากข้อมูลเหล่านี้ ย่อมเป็นหลักฐาน ที่ผมเชื่อว่าจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชนชาวไทย และชาวโลกได้เป็นอย่างดี ถึง “จุดแข็ง” ของต่างๆ ของไทย ได้แก่ (1) เสถียรภาพทางการคลังแข็งแกร่ง ซึ่งสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับนานาชาติ (International Credit Rating Agency) ที่โลกให้การยอมรับ เช่น Fitch และ S&P ยังไม่เคยปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือไทยลงเลย แม้ในช่วงวิกฤตโควิด (2) หนี้ต่อ GDP อยู่ในระดับต่ำ และหนี้เงินตราต่างประเทศก็น้อย ถึงน้อยมาก (3) ระบบธนาคารมีความแข็งแรง มีสภาพคล่องในประเทศที่ดี (4) เงินสำรองระหว่างประเทศจัดอยู่อันดับที่ 12 ของโลก ถือว่าอยู่ในระดับสูง (5) เราสามารถผลิตอาหารได้อย่างเพียงพอ ค่าครองชีพต่ำ ค่าที่ดิน/ที่อยู่อาศัยที่ถูกที่สุดแห่งหนึ่งในโลก

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

สระแก้ว ทหารจับแก๊งบัญชีม้าคนไทย 3 ราย ขณะลักลอบ ไปและกลับ จากกัมพูชา
ปฏิบัติการเชิงรุก! เจ้าหน้าที่เขาสอยดาวทำงานไม่หยุด เพื่อสมดุลธรรมชาติผลักดันช้างป่ากับคืนถิ่น
เปิดใจเด็กหญิงในภาพ ที่ถวายมาลัยกร “พระพันปีหลวง” เมื่อ 40 กว่าปีที่ผ่านมา
หนุ่มขี่ จยย.ชนท้ายรถยนต์กระบะที่จอดติดไฟแดง บาดเจ็บ
"เจ้าคณะตำบลเขาสามยอด" ขีดเส้น 30 ขอ "หลวงพ่ออลงกต" เร่งชี้แจงปม "ที่ดิน" รีบจัดการโอนกรรมสิทธิ์คืนให้วัด
ปราบสายแว้นท่อดัง

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​