เอาใจ3นิ้ว “ไอศครีมไผ่ทอง” โพสต์แซะสลิ่ม “กะทิไผ่ทองไม่มีสลิ่มเลยไม่บูด”

เอาใจ3นิ้วไอศครีมไผ่ทอง โพสต์แซะสลิ่ม "กะทิไผ่ทองไม่มีสลิ่มเลยไม่บูด" เจอคอมเมนต์สวน ของลูกชายอร่อยกว่า

ไผ่ทองไอศครีม ได้กลายเป็นประเด็นในโลกสังคมออนไลน์อีกครั้ง เมื่อเพจเฟสบุ๊กไผ่ทองไอสครีม โพสต์ภาพแบนเนอร์โปรโมทไอสครีม ซึ่งในภาพแบนเนอร์กลับมีข้อความว่า “กะทิที่ดี..ต้องกะทิไผ่ทอง” “หวานดี ไม่มีบูด ไม่มีสลิ่มเลยไม่บูด” พร้อมระบุแคปชั่นว่า อยากกินไอติมกะทิ ต้องกิน ไอติมกะทิไผ่ทองสิจ๊ะ ถึงจะเป็นมะพร้าวห้าว แต่พอเป็นไอติมรับรองกินแล้วไม่ก้าวร้าว ไม่กรี๊ดดดแน่นอน #ไผ่ทองไอสครีม #71ปีไผ่ทองไอสครีม #ไอติมในตำนาน #กะทิบูด #ไผ่ทองต้นตำรับ

โพสต์ดังกล่าวก็มีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความเห็นและแชร์ออกไปจำนวนมาก ซึ่งแอดมินก็ได้ตอบในคอมเมนต์เพิ่มเติมว่า คอมเม้นกันเบาๆ แอดกลัว เงินก้อเฟ้อ ของก้อแพง ค่าแรงไม่ขึ้น มาเม้นแก้เครียดกันค่ะ

ข่าวที่น่าสนใจ

โดยคอมเมนต์จากชาวเน็ต บางคนก็เข้ามาชื่นชมที่แบรนด์มีจุดยืน และจะอุดหนุนต่อไป ขณะที่บางส่วนได้แสดงความเห็นตรงกันข้าม เช่นบอกว่า

-โอเค กินมา 40 ปี และก็จะกินต่อไป กินของลูกชายอ่ะนะ ซึ่งแอดมินก็ได้มาตอบข้อความนี้ว่า ถ้าจะให้แน่! มาทานของแท้ต้นตำรับเถอะค่ะ จะได้รู้ว่าของดีจริงเป็นยังไง แต่เจ้าของคอมเมนต์ก็ได้ตอบกลับอีกว่า
“ลองแล้วครับ ถนนฉลองกรุง ลาดกระบัง ไอติมเป็นเกล็ดน้ำแข็งไม่เป็นเนื้อเดียวตั้งแต่ประมาณ 2-3 ปีที่แล้วล่ะครับ เลยไม่เอาอีกเลย”

  • -เราชอบ ร้านที่ สะกดด้วย ศ.
  • -ไร้สลิ่ม คอยดูน่ะจ๊ะ อะไรบูด 555
  • -ไม่เข้าใจคนที่คิดการตลาดแบบนี้จริงๆ

ขณะที่บางคอมเมนต์บอกว่า มีไอติมอยู่ยี่ห้อหนึ่งที่ผมเลิกกินไปนานล่ะ เพราะสกปรก ผมไม่บอกนะว่ายี่ห้ออะไร ไม่ต้องมาเซ้าซี้ผมด้วย

สำหรับไอศรีมไผ่ทอง เป็นที่ทราบกันดีว่า จากปัญหาความขัดแย้งในครอบครัว ที่ถึงขั้นมีการฟ้องร้องกันจนเป็นข่าวโด่งดัง ทำให้ไอศครีมไผ่ทองแตกออกเป็น 2 เจ้า เจ้าแรกคำว่า ไอศครีมสะกดด้วย ส. เป็นของมารดา ส่วนอีกเจ้าคำว่า ไอศครีมสะกดด้วย ศ. มีโลโก้ต้นไผ่ เป็นของนายบุญชัย ชัยผาติกุล บุตรชาย

ทั้งนี้ นายบุญชัย เคยบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่า ในช่วงอายุ 17-18 ปี ตนเองซึ่งเป็นลูกชายคนรอง ได้รับกิจการโรงงานไอศครีมจากพ่อ ต่อมาพ่อของเขาเห็นว่าธุรกิจโตขึ้น ควรขยายพื้นที่ จึงไปซื้อที่แถวสะพานขาว เปิดโรงงานเพิ่มแล้วให้จดทะเบียนเป็นชื่อของพี่สาว เพราะตอนนั้นตัวเขายังไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ต่อมามีการซื้อคืน และใส่ชื่อเขาให้เป็นเจ้าของโรงงาน  “ไผ่ทอง ไอศครีม” มาตั้งแต่ปี 2530

กระทั่ง ปี 2538  กิจการไอศครีม ดีขึ้นตามลำดับ ส่วนพี่ชายที่รับกิจการอื่นไปทำ ไม่ประสบความสำเร็จ      และด้วยความที่คนจีนให้ความสำคัญกับลูกชายคนโตมาก แม่เลยมายึดกิจการไอศครีมจากตนคืน แต่ตนไม่ยอม กระทั่งเกิดความขัดแย้งกันรุนแรง สุดท้ายตัวเองถูกบีบให้ออกจากบ้าน กลายเป็นว่าตอนนั้นมีแต่ตัวกับสูตรไอศครีมที่อยู่ในหัวเท่านั้น

ชีวิตของเขาและภรรยาช่วงเวลานั้น ต้องไปขออาศัยอยู่กับญาติและคนรู้จัก ไม่มีเงินพอที่จะเปิดโรงงานไอศครีมใหม่ แต่ตนมีความรู้เกี่ยวกับไฟฟ้า  จึงเปิดร้านขายเกี่ยวกับอุปกรณ์ไฟฟ้า ทำได้ไม่นานพอเริ่มมีเงินทุน จึงไปรับไอศครีมจากที่บ้านมาขาย ซึ่งทางเขาก็รู้ว่าผมซื้อไปขาย แต่ตอนนั้นมองว่าเป็นแค่เจ้าเล็ก ไม่ใช่คู่แข่ง ยังไม่ได้อะไร ผมก็ทำแบบนี้ไปเรื่อย กระทั่งปี 2549 มีเงินพอเปิดโรงงานเล็กๆ และเติบโตมาถึงปัจจุบัน แต่สุดท้ายก็มีเรื่องฟ้องร้องกันอย่างที่ตกเป็นข่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"สันติสุข" เทียบเจ็บ "ฮุน เซน" เหมือนคนคลั่งยา จับสมาชิกครอบครัวเป็นตัวประกัน ปลุกระดมทะเลาะไทย พาคนในชาติเดือดร้อนทั่วหน้า
วธ.เตรียมจัดใหญ่งานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ วิถีถิ่น วิถีไทย กลางใจกรุงเทพฯ มางานเดียวเหมือนได้เที่ยวทั่วไทย
เพื่อไทยกร้าวสุด "สส.อีสาน" เล่นใหญ่ เสนอกลางวงประชุมพรรค ลั่นถึงเวลาทวง "มหาดไทย" คืน
กลาโหมกัมพูชากล่าวหาไทยละเมิด MOU 2543
สถานทูตในอิหร่านเตือนคนไทยออกจากเตหะราน
ครม. เห็นชอบแต่งตั้ง "เกษร" เป็นผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย
อิสราเอลขู่คาเมเนอีระวังมีชะตากรรมเหมือนซัดดัม
ศน. ประกาศผลประกวดบรรยายธรรมระดับประเทศ 24 เยาวชนคนเก่ง รับโล่พระราชทาน "กรมสมเด็จพระเทพฯ"
“ไพบูลย์” ย้ำพปชร.ไม่ร่วมรัฐบาล “นายกฯอิ๊งค์” หาก “ภูมิใจไทย” ถอนตัวจากพรรคร่วม
สร.รฟท. ลงพื้นที่อีสาน ให้กำลังใจทหาร "ตาเมือนธม" คารวะทำหน้าที่ ปกป้องอธิปไตยแผ่นดิน

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น