นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี พร้อมนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เดินทางเข้าพบและให้ข้อมูลคณะกรรมการตรวจสอบการประมูลการก่อสร้าง รถไฟทางคู่เหนือ-อีสาน ที่สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นพ.วรงค์ กล่าวว่า ภายหลังยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อตรวจสอบการประมูลโครงการรถไฟทางคู่สายเหนือ-อีสานที่ส่อฮั้วประมูลตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา ล่าสุดวันที่ 17 มิถุนายน นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามเป็นหนังสือรับตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ พร้อมเชิญมาให้ข้อมูลข้อเท็จจริง ต่อคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในวันนี้ การที่นายกรัฐมนตรี แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องโครงการรถไฟฟ้าทางคู่สายเหนือ-อีสานนี้ ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่ไม่ต้องการให้เกิดการฮั้วประมูลหรือการทุจริต
หัวหน้าพรรคไทยภักดี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ สมัยเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลคสช.ได้ตั้งซุปเปอร์บอร์ดเพื่อมาตรวจสอบ การทุจริตโครงการใหญ่ของภาครัฐที่มีมูลค่าเกิน 5,000 ล้านบาท ซึ่งรถไฟฟ้าทางคู่สายเหนือ ขนาดกว่า 70,000 ล้านบาท และซุปเปอร์บอร์ดมีมติให้แบ่งเป็น 7 สัญญา โดย 6 สัญญาเป็นการก่อสร้าง และอีก 1 สัญญาเป็นอาณัติสัญญา แต่มาในสมัยรัฐบาลนี้ มีการตั้งบริษัทที่ปรึกษามาเป็นที่ปรึกษา ได้ลดสัญญาจาก 7 สัญญาเหลือแค่ 3 สัญญา ซึ่งถือว่าผิดปกติแล้ว ส่วนโครงการสายอีสาน เป็นไปโดยอำนาจ เพราะเป็นมติที่เกิดขึ้นภายหลังจึงมีแค่ 2 สัญญารวมทั้งสายเหนือและอีสานเป็น 5 สัญญา และมีบริษัทยักษ์ใหญ่เข้าร่วมประมูล แค่ 5 บริษัท จึงไม่ต้องอธิบายอะไรมากคนไทยดูก็รู้ว่าฮั้วประมูลหรือไม่
นพ.วรงค์ กล่าวว่า ตนขอเสนอให้นายกรัฐมนตรีควรจะใช้กฎเกณฑ์ของ ซุปเปอร์บอร์ดเดิมเพื่อตรวจสอบการทุจริตในโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐให้เกิดความรัดกุม เพื่อป้องกันการทุจริตและใช้แนวทางนี้ในทุกโครงการ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าการปรับกฎเกณฑ์ของซุปเปอร์บอร์ดมาเป็นเงื่อนไขใหม่ ตั้งแต่เปลี่ยนรัฐบาลมีรัฐมนตรีคมนาคมคนใหม่ มีบอร์ดการรถไฟแห่งประเทศไทยใหม่ มีความไม่ชอบมาพากลหรือไม่ ในการเปลี่ยนเงื่อนไข โดยเฉพาะโครงการรถไฟทางคู่สายเหนือที่มีการวางกรอบมาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ดูแล้วไม่สมเหตุสมผลในการมาปรับเงื่อนไขใหม่เช่นนี้
หัวหน้าพรรคไทยภักดี กล่าวถึงการชี้แจงความโปร่งใสและข้อเท็จจริงของโครงการดังกล่าว ของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่พยายามอ้างถึงอีอ็อกชั่น หรือการประมูลแข่งขันราคาทางออนไลน์ ซึ่งเมื่อพูดถึงระบบ อีอ็อกชั่น วงการก่อสร้างหัวเราะเยาะกันทุกคน เพราะไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะมีความยุติธรรมโปร่งใส ซึ่งต้องดู เพราะถือว่าต่างกรรมต่างวาระ ต้องดูในแต่ละเงื่อนไข ซึ่งการตั้งบริษัทที่ปรึกษามาเป็นคณะที่ปรึกษาเป็นเรื่องของบอร์ด ซึ่งบอร์ดต้องรับผิดชอบ ส่วนการเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อปรับจาก 7 สัญญาเหลือ 3 สัญญา เป็นสิ่งที่รัฐมนตรีคมนาคมได้เสนอ ซึ่งรัฐมนตรีคมนาคมต้องรับผิดชอบ
“วันนี้อะไรที่มันเป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ขอนายกฯ ไม่ต้องไปสนใจว่าเป็นพรรคพวกหรือเป็นใคร ถ้าทำในเรื่องส่อไปในทางทุจริตต้องจัดการ อย่าใช้คำว่าเกรงใจ ไม่ว่าจะเป็นใครก็แล้วแต่ ต้องแก้ปัญหา ไม่เช่นนั้นศรัทธาของประชาชนจะหายไป อย่าว่าแต่พรรคร่วมรัฐบาลหรือแม้แต่เป็นพี่น้องกันที่อยู่ในรัฐบาลเอง ก็ต้องจัดการ ไม่ว่าใครก็ตามถ้าจงใจทุจริตโครงการใหญ่ขนาดนี้ต้องจัดการ” นพ.วรงค์ กล่าว