หลังจากระยะหลังมีกระแสข่าวระหองระแหงกันมาตลอดภายใน ๓ ป. โดยเฉพาะระหว่าง พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กับ น้องเล็กอย่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม ล่าสุดก็เป็นกรณีที่มีคนปล่อยข่าวว่าพล.อ.ประยุทธ์อาจจะผ่าทางตันลงมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐนำทัพลงสู่เลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ด้วยการขยับลงมาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐและดันพล.อ.ประวิตรขึ้นไปเป็นประธานที่ปรึกษาพรรคแทน ข่าวลือที่ว่านี้ก็ทำให้ ๒ ป.มองหน้ากินไม่ติดหลายวัน ขณะที่พล.อ.ประวิตรปฏิเสธไม่รู้ไม่เห็นกับข่าวนี้ ส่วนบิ๊กตู่ก็พูดชัดยังไม่คิดถึงเรื่องนี้ตอนนี้ภารกิจหลักอยู่ที่การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ทำงานให้จบครบเทอมก่อน ส่วนการเมืองในอนาคตยังมีเวลาให้ตัดสินใจ จะอยู่หรือไปก็สุดแล้วแต่ประชาชน กระนั้นก็ส่งสัญญาณขอโทษประชาชนที่อยู่นานไปหน่อย เพราะมีภารกิจติดพันสุดสำคัญเพื่อชาติ
หลังเกิดข่าวลือข่าวหลุดออกไปเรื่องนายกฯจะลงมาคุมพรรคเอง ดูเหมือนคนที่ร้อนตัวที่สุดกลับไม่ใช้บิ๊กป้อมแต่อย่างใด หากแต่เป็น ไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมการกฎหมายและข้อบังคับของพรรคพลังประชารัฐ ที่ดูออกจะร้อนตัวกับข่าวนี้มากเป็นพิเศษ ถึงขนาดต้องรีบออกมาตอบโต้ปฏิเสธเรื่องนี้อย่างทันควัน ทั้งการออกมาอวยว่าไม่มีใครเหมาะจะเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐมากไปกว่าพล.อ.ประวิตร เพราะเป็นคนเข้าอกเข้าใจปัญหาส.ส. รู้จักพรรครู้จักผู้แทนทุกคนเป็นอย่างดี ขณะที่พล.อ.ประยุทธ์ไม่เหมาะที่จะเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง “ เป็นไปไม่ได้และไม่เหมาะสม ท่านเหมาะกับการเป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรค ตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐมีเพียงพล.อ.ประวิตรที่เหมาะสม คงไม่มีใครเหมาะสมเท่าพล.อ.ประวิตร ทั้งนี้พล.อ.ประวิตรเคยพูดไว้ในที่ประชุมว่าจะเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร และเป็นหัวหน้าพรรคไปตลอด ส่วนกระแสข่าวที่ออกมาเกิดจากที่มีสมาชิกพรรคเห็นประโยชน์ของตัวเอง หวังสร้างความปั่นป่วนในพรรคและสร้างความขัดแย้งระหว่าง ๒ ป” ไพบูลย์ระบุ ก่อนเผยข้อมูล “ไอ้โม่ง” ที่ปล่อยข่าวเตะตัดขานายป้อม เป็นอดีตเด็กเก่าในพรรคที่ลาออกไปตั้งพรรคใหม่แต่ไม่ประสบความสำเร็จเลยขอกลับมาตายรังแต่ยังมีพฤติกรรมปล่อยข่าวทำลายพรรคไม่เลิก งานนี้ร้อนถึง “แรมโบ้” ดร.เสกสกล อัตถาวงศ์ ต้องออกโรงมาปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเอง ด้วยการประกาศท้าสาบานให้ตายโหงตายห่าถ้าเป็นคนปล่อยข่าวเท็จ พร้อมย้ำไม่เคยมีพฤติการณ์ชั่วช้าเลวทรามแบบนั้น และตัวเองก็เคารพนับถือทั้ง ๓ ป. ด้วยดีมาตลอด ไม่เคยมีความคิดยุแยงตะแคงรั่วให้ผู้ใหญ่ทั้ง ๓ คนต้องแตกแยกกันเอง
จบภารกิจดักคอพล.อ.ประยุทธ์ไม่ให้ลงมาเป็นหัวหน้าพรรคเสร็จเมื่ออาทิตย์ก่อน ล่าสุดไพบูลย์ก็ออกมาอวยพล.อ.ประวิตรต่อว่าจะเป็นแม่ทัพคนสำคัญที่จะพาพรรคพลังประชารัฐชนะการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ยังคุยฟุ้งว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของ ๒ ป. นั้นแน่นปึก ขณะที่บรรยากาศในพรรคพลังตอนนี้เสถียรภาพดีขึ้นมาก ทุกฝ่ายเป็นเอกภาพ มีการแบ่งหน้าที่กันทำเรียบร้อยไร้ซึ่งความขัดแย้ง “ แน่นอนต้องเป็นพล.อ.ประวิตร อยู่แล้วในฐานะหัวหน้าพรรค และเป็นเสาหลักศูนย์รวมจิตใจของ ส.ส.พรรคทุกคน ดังนั้นสิ่งนี้คือจุดแข็งของพรรค พล.อ.ประวิตรเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับส.ส.ทุกคน รวมทั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งใหม่ที่จะเข้ามา บุคคลที่มีความสามารถต่างๆ ก็จะเข้ามาร่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้นำต้องมีบารมีพอที่จะควบคุมให้พรรคเดินหน้าได้ พล.อ. ประวิตรเป็นผู้ที่มีความเหมาะสมที่สุด และเชื่อว่าเมื่อเข้าสู่ศึกเลือกตั้งครั้งหน้าจะนำความสำเร็จมาให้พรรคได้อย่างแน่นอน และมั่นใจว่าเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคพลังประชารัฐยังเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ความเห็นส่วนตัวพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม ยังเป็นแคนดิเดตนายกฯที่พรรคจะเสนอชื่ออีกครั้งอย่างแน่นอน ยืนยันพล.อ.ประยุทธ์และพล.อ.ประวิตร เป็นหนึ่งเดียว ทำให้พลังประชารัฐมีเอกภาพมีความมั่นคงอย่างแน่นอน” ไพบูลย์ย้ำ
ใครตามการเมืองมานานและถ้าตามพรรคพลังประชารัฐมาตลอดก็อาจจะงงๆหน่อย ตกลงไพบูลย์อยู่ข้างไหนถือหางใคร ก่อนหน้านี้สมัยแรกๆช่องรัฐบาลประยุทธ์ ๑ เรือแป๊ะตอนแรก ถ้าจำไม่ผิดไพบูลย์ถือเป็นขุนศึกคนสำคัญข้างกายนายกฯเลย ย้อนอดีตทวนความจำกันไพบูลย์คือส.ว.ทำหน้าที่ครบ ๒ วาระ ครั้งแรกตั้งแต่ ๒ มี.ค. ๒๕๕๑ – ๑ มี.ค. ๒๕๕๔ ครั้งที่ ๒ ๑๘ ก.ย. ๒๕๕๕ – ๒๔ พ.ค. ๒๕๕๗ ตอนอยู่ในสภาสูงเป็นแกนนำในการจัดตั้งกลุ่ม ๔๐ ส.ว. เคลื่อนไหวเรื่องต่างๆในวุฒิสภา แต่ผลงานสร้างชื่อของไพบูลย์คือการยื่นเรื่องในช่วงเดือนมี.ค. ๒๕๕๗ ให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาความผิดของ “นายกฯน้องสาว” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กรณีโยกย้ายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาฯสมช.โดยไม่เป็นธรรม ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะเห็นตามคำฟ้องและตัดสินใจให้ยิ่งลักษณ์พร้อมกับรัฐมนตรีอีก ๙ คนพ้นจากตำแหน่งและต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ ๗ พ.ค.๒๕๕๗ จนทำให้เกิดสุญญากาศไม่มีหัวหน้ารัฐบาล จนที่สุดพล.อ.ประยุทธ์ต้องตัดสินใจทำรัฐประหาร อีกเรื่องที่เป็นผลงานสะท้านวงการของไพบูลย์ก็คือการยืนเรื่องถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ระงับกรณีที่พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ทำการมิบังควรไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำด้วยการเสนอชื่อทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี เป็นนายกฯ ในบัญชีแคนดิเดตของพรรค เมื่อ ๘ ก.พ.๒๕๖๒ ก่อนที่พรรคจะถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคในเวลาต่อมา พร้อมตัดสิทธิคณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) เป็นเวลา ๑๐ ปี ด้วยข้อหาทำการไม่บังควรดึงสถาบันลงมายุ่งกับการเมือง ทั้งนี้ในช่วงเลือกตั้งใหญ่ ๒๔ มี.ค.๒๕๖๒ ไพบูลย์ตั้งพรรคของตัวเองขึ้นเมื่อ ๓๑ ต.ค. ๒๕๖๑ ในนามพรรคประชาชนปฏิรูป( ปชช.) โดยใช้คำขวัญว่า “ น้อมนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ เพื่อแก้ไขปัญหาทุกข์ร้อนของประชาชน คืองานหลักของพรรคประชาชนปฏิรูป” โดยมีตัวเองนั่งเป็นหัวหน้าพรรค ชูจุดขายเสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯตั้งแต่ไก่โห่ ชนิดที่ตัวบิ๊กตู่เองยังงงว่าไปรับปากกันตอนไหน ผลการเลือกตั้งได้ส.ส.ปัดเศษมา ๑ คน ไพบูลย์ได้เป็นผู้แทน แต่อยู่มาได้ไม่นาน ๕ ส.ค.๒๕๖๒ ไพบูลย์ยื่นเรื่องถึงกกต.ขอยุบพรรคตัวเอง จากนั้น ๖ ก.ย.๒๕๖๒ ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศพรรคประชาชนปฎิรูปสิ้นสภาพพรรคการเมือง จากนั้นไม่นานไพบูลย์ไปโผล่เป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ โดยให้เหตุผลที่ไปอยู่กับพรรคพลังประชารัฐเพราะต้องการสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ และมีแนวทางการทำงานคล้ายๆกัน จากตอนนั้นจนถึงบัดนี้ไพบูลย์กลายเป็นแกนนำคนสำคัญเป็นมือกฎหมายเบอร์ต้นๆ ของพรรคพลังประชารัฐ
อย่างไรก็ตามแม้จะเคยเป็นกระบี่มือหนึ่งเป็นขุนพลคนสำคัญของรัฐบาลที่สร้างชื่อเสียงโบว์แดงไว้เยอะ แต่ผลงานในปัจจุบันของไพบูลย์ต้องบอกว่าฝีมือตกสนิมเขรอะไปเยอะ เพราะระยะหลังๆ หลายครั้งหลายคราหลายผลงานของไพบูลย์ ต้องบอกว่าเลอะเทอะออกทะเลไปมาก ไม่คมกริบไม่นิ่งไม่ทะลุปรุโปร่งไม่มองการณ์ไกลเหมือนเก่า อาจจะเป็นเพราะอายุมาก ความรับผิดชอบเยอะ หรือขาลงอะไรก็แล้วแต่ การออกหมัดออกอาวุธช่วงหลังของไพบูลย์ดูจะสะเปะสะปะผิดรูปหลงเหลี่ยมไปมาก หลายงานที่ได้รับผิดชอบได้เป็นคนคุมเกมส์ก็เกิดความผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปมาก พาลพาให้คนที่เอาใจช่วยรัฐบาลอยู่ข้างลุงตู่อกสั่นขวัญเสีย ก่อนหน้านี้ก็พลาดตอนเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูธ เมื่อ ๒๓-๒๔ มิ.ย. ๒๕๖๔ ปีที่แล้วระหว่างประชุม ๒ สภา เพราะร่างที่ไพบูลย์กับพรรคพวกเสนอ คือร่างที่ ๑ ที่เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ๕ ประเด็น รวม ๑๓ มาตรา ถูก ส.ว. ส่วนใหญ่ลงมติไม่รับหลักการหรืองดออกเสียง ทำให้ถูกตีตกไปตั้งแต่วาระแรก ด้วยมติ: เห็นชอบ ๓๓๔เสียง (ส.ส. ๑๓๔ / ส.ว. ๙ ) ไม่เห็นชอบ ๑๙๙ เสียง และงดออกเสียง ๗๕ เสียง ทั้งนี้ในวาระที่ ๑ ขั้นรับหลักการ ต้องได้คะแนนเห็นชอบไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา (ในตอนนั้น) หรือ ๓๖๗ จาก ๗๓๓ เสียง (ส.ส. ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้มี ๔๘๓ คน ส.ว. มี ๒๕๐ คน) ในจำนวนนี้ต้องมี ส.ว. เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๓ ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของวุฒิสภา หรือ ๘๔ คน โดยประเด็นที่ถูกส.ว.โจมตีอย่างหนักของไพบูลย์ คือ การแก้ไข ม. ๑๔๔ ที่เปิดทางให้ ส.ส. และ ส.ว. แปรญัตติงบประมาณได้ และ ม.๑๘๕ ยกเลิกข้อห้าม ส.ส. และ ส.ว. แทรกแซงการทำงานของข้าราชการ ที่สุดก็เลยทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับของพรรคพลังประชารัฐที่เป็นต้นทางในการออกกฎหมายลูกถูกตีตกไปกลายเป็น “เสียของ” จนรัฐบาลต้องไปหยิบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญร่างที่ ๑๓ ที่แก้ไขเพิ่มเติม ม.๘๓ และ ๙๑ ที่เสนอแก้ระบบเลือกตั้ง ส.ส. ใช้บัตรเลือกตั้ง ๒ ใบ โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กับคณะแทนซึ่งก็ทำให้เกิดความไม่สมบูรณ์ในการคิดคำนวณการนับคะแนนเลือกตั้ง
อีกเรื่องก็คือกรณีที่ไพบูลย์ยืนยันหัวชนฝาเรื่องการคิดคะแนนแบบ ๑๐๐ หาร ในการคำนวณคะแนนส.ส.แบบบัญชีรายชื่อโดยไม่สนใจจะทบทวนไปช้สูตรการคิดคะแนนแบบ ๕๐๐ หาร ซึ่งบรรดาส.ส.พรรคเล็กและหลายฝ่ายเห็นตรงกันว่าจะช่วยบล็อกพรรคเพื่อไทยหยุดฝ่ายทักษิณได้ ก็เป็นไพบูลย์นี้แหละที่ยืนยันกับบิ๊กป้อมในพรรคว่าสูตร ๑๐๐ หารนี้แหละดีที่สุดและเป็นประโยชน์กับพรรคพลังประชารัฐที่สุด ทั้งๆที่มีเสียงคัดค้านหนาหูจากหลายฝ่ายว่าหากใช้สูตร ๑๐๐ หารปลายทางจะเข้าทางตีนทักษิณและพรรคเพื่อไทยมีโอกาสจะแลนสไลด์ชนะการเลือกตั้งถล่มทลายทั้งแผ่นดินได้ไม่ยาก ล่าสุดอย่างที่ทราบเจ้าตัวออกมาอวย ๒ ป. สูตรสำเร็จในการชนะการเลือกตั้งรอบหน้า ชูพล.อ.ประวิตรจะพาพรรคพลังประชารัฐเข้าวินได้แน่นอน คนไทยที่เอาใจช่วยรัฐบาลอยู่ข้างพล.อ.ประยุทธ์ฟังแล้วมึนตึบ ถามดังๆกลับไปถึงไพบูลย์ “ไปเอาความมั่นใจมาจากไหน” เลือกตั้งซ่อมก็แพ้หลุดลุ่ย สงขลา ชุมพร หลักสี่ดอนเมือง เลือกส.ก.ก็แพ้ยับเยิน ๕๐ เขต ได้มาเท่าหนวดแมวแค่ ๒ คน คะแนนจากคราวเลือกตั้งรอบที่แล้วเมื่อ ๒๔ มิ.ย. ๒๕๖๒ กว่า ๗.๙ แสนคะแนนลดลงเหลือ ๒.๗ แสนคะแนน รัฐบาลขาลงพรรคพลังประชารัฐตกต่ำสุดขีด พล.อ.ประวิตรขายไม่ออกหมดราคาไปมากแล้ว ไพบูลย์หลอกตัวเองขนาดนี้ถ้าพล.อ.ประวิตรยังเชื่อพล.อ.ประยุทธ์ยังหูเบา ฟังความข้างเดียวจากปากไพบูลย์แล้วเชื่อว่าจริงอีกก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว เลือกตั้งคราวหน้าเตรียมตัวม้วนเสื่อกลับบ้านได้เลย อุ๊งอิ๊งมาแน่ทักษิณได้กลับบ้านชัวร์
////////////////////