นายนิมิตร ปิ่นทอง อายุ 63 ปี ชาว ต.ท่าชัย อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย อดีตครูเกษียณราชการ ที่ชาวบ้านตำบลท่าชัยให้ความเคารพนับถือ แจแก่ผู้สื่อข่าวว่ามียายวัย 81 ปี กำลังได้รับความเดือดร้อน และต้องการความช่วยเหลือ เนื่องจากยายคนดังกล่าวได้บริจาคที่ดินของตนเองมูลค่า 14 ล้านบาท เพื่อสร้างสำนักปฏิบัติธรรม และบริจาคเงินสร้างศาสนสถาน กว่า 2 ล้านบาท แต่กลับถูกเจ้าสำนักขับไล่ ให้ออกจากที่ดินที่เคยเป็นของตัวเอง จึงเดินทางไปตรวจสอบ บริเวณเพิงพักใกล้สำนักปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ที่หมู่ 5 ต.ท่าชัย อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย พบยายแหล่ม ทิชากร อายุ 81 ปี อยู่บ้านเลขที่ 346 หมู่ 5 ต.ท่าชัย อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย ยายแหล่ม เล่าว่า ตนและญาติพี่น้องส่วนหนึ่ง เป็นนักแสวงบุญ ชอบทำบุญและปฏิบัติธรรม มักจะชวนกันเหมารถไปปฏิบัติธรรม ฟังเทศน์ตามวัดต่างๆในต่างจังหวัด และศรัทธาในแนวทางสันติอโศก โดยเฉพาะที่ จ.ตาก มีสถานปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่งที่ตนและญาติมักจะไปปฏิบัติธรรม บ่อยๆ จนกระทั่งเมื่อได้พบและฟังเทศน์จาก พระ “มหาร้อยธรรม” รู้สึกซาบซึ้งจับใจ เกิดความศรัทธาอย่างแรงกล้า
เมื่อกลับมาบ้าน บรรดาผู้ที่ไปร่วมปฏิบัติธรรมด้วยกันจึงเสนอ ให้สร้างที่พักสงฆ์ในที่ดิน จำนวน 10ไร่ ของตน ซึ่งเคยมีเศรษฐีมาขอซื้อในราคา 14 ล้านบาท แต่ตนไม่ขาย เนื่องจากไม่เดือดร้อนเรื่องเงินทอง ไม่มีหนี้สิน ไม่มีสามีและลูก ต่อมาน้องสาวตนและญาติไปนิมนต์ พระ “มหาร้อยธรรม” ให้มาเป็นเจ้าสำนักที่นี่ ซึ่งตอนนั้นตนก็ไม่ขัดข้องเนื่องจากหลงเชื่อศรัทธา และยังขายที่ดินแปลงอื่น รวบรวมเงินมาได้ 2 ล้านกว่าบาท นำมาสร้าง ศาสนสถานต่างๆ และถวายที่ดินแปลงดังกล่าวให้กับสันติอโศก โดยตนเองยังอาศัยอยู่ที่บ้านซึ่งอยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าว ต่อมาเริ่มมีผู้มาปฏิบัติธรรมเพิ่มมากขึ้นทั้งมาจากที่ต่างๆ บางคนมีฐานะ ร่ำรวย ตนจึงเริ่มโดนกดดัน และห้ามไม่ให้เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ จะช่วยปรุงอาหารก็หาว่าตนสกปรก จะใส่บาตรก็ปิดฝาบาตรไม่รับภัตราหารจากตน และทำโทษ โดยหาว่าตนดื้อด้าน ไม่เชื่อฟังพระ เพียงแค่ตนถามและอธิบายข้อข้องใจในบางเรื่องกลับถูกดุ และต้องถูกลงพรหมฑัณท์ โดยการปฏิบัติลดละอัตตา 4 เดือน และต้องดื่มกินน้ำมันมะกอกก่อนจึงจะเข้ามาขอขมาได้ แต่ตนไม่ยอมกิน ท้ายที่สุดออกปากไล่ไม่ให้อยู่ภายในบริเวณสำนักฯ ซึ่งเคยเป็นที่ดินของตนที่สร้างถวายให้ แต่ตอนนี้ทราบว่า ที่ดินดังกล่าวตกเป็นทรัพย์สินของ มูลนิธิปฐพีพุทธ ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ที่ตนต้องการบริจาคถวายให้สันติอโศก จึงต้องการให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงตามความตั้งใจเดิม และขอให้พระมหาร้อยธรรม ออกไปอยู่ที่อื่น
ด้านนายนิมิตร ปิ่นทอง อดีตครูเกษียณ กล่าวว่า ยายแหล่ม ได้มาปรึกษาเรื่องดังกล่าวนานแล้วซึ่งพยายามหาทางช่วย โดยประสานทั้งศูนย์ดำรงธรรม ทั้งสำนักงานพุทธศาสนา เรื่องก็เงียบ ปรึกษาเลขาเจ้าคณะอำเภอท่านก็บอกว่า คนละนิกายกันไม่สามารถยุ่งเกี่ยวได้ จึงอยากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยดูแล และตรวจสอบพฤติกรรม เนื่องจากทราบมาว่า ญาติโยมที่ใส่บาตรทำบุญให้ในตอนแรกๆพระจะไม่รับเงิน แต่หากศรัทธาเข้ามาเป็นสาวกร่วมหมู่คณะ กลับถูกชักชวนให้ทำบุญกันเป็นจำนวนมากๆ เช่นชาวไร่อ้อยคนหนึ่งเมื่อพระรู้ว่ามีรายได้หลักแสนบาทก็จะชวนให้นำเงินมาทำบุญ บางคนขายที่ดินนำเงินมาถวายเป็นล้าน โดยลูกหลานมารู้ทีหลังได้แต่บ่นให้ตนฟัง แม้แต่แม่ยายตนเอง ยังจะขายที่ดินมูลค่า 3 ล้านบาทแล้วจะนำเงินมาทำบุญ 1 ล้านบาท แต่ยังขายไม่ได้ จึงโดนทวงถามถึงเงิน 1 ล้าน ที่แม่ยายเคยกล่าวไว้มาโดยตลอด ซึ่งชาวบ้านแถวนี้ที่เคยหลงมาทำบุญปฏิบัติธรรมที่สำนักแห่งนี้ เริ่มลดน้อยลงจนเหลือแต่คนมาจากที่อื่นเพียงไม่กี่คน และที่เห็นว่าผิดปกติคือ คนมาปฏิบัติธรรมแต่กลับมีความผิดต้องได้รับโทษ ต้องเดินจงกรมตากแดด และต้องดื่มน้ำมันมะกอกเพื่อให้ได้เข้ามาขอขมา ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกในพุทธศาสนามีการกระทำแบบนี้ด้วยหรือ นายนิมิตร กล่าว