กรณีที่คณะกรรมการจริยธรรมสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการ ที่มี “นายหัวชวน” ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรในฐานะประธานคณะกรรมการฯ ได้พิจารณาข้อร้องเรียนกรณีขอให้มีการตรวจสอบจริยธรรม “เจ๊เจี๊ยบ” อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่แสดงความคิดเห็นไม่สนับสนุนสินค้าเอกชน การโพสต์ข้อความในการเข้าร่วมชุมนุม และการใช้ตำแหน่งส.ส. ในการขอปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลย ภายหลังคณะอนุกรรมการจริยธรรมสภาผู้แทนราษฎรได้ดำเนินการตรวจสอบ กลั่นกรอง แสวงหาข้อเท็จจริง และรวบรวมพยานหลักฐานเบื้องต้น ผลปรากฏว่าคณะกรรมการฯ มีความเห็น “ไม่ฟัน” ไม่เอาผิดลงโทษเจ๊เจี๊ยบแต่อย่างใดโดยให้เหตุผลว่า “ การกระทำของผู้ถูกร้องเป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นส่วนบุคคลของผู้ถูกร้องที่มีความรู้สึกต่อสินค้าเอกชน ซึ่งเป็นเสรีภาพของบุคคลในการแสดงความคิดเห็นตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ม.๓๔ ประกอบกับการโพสต์ข้อความดังกล่าวไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลใด”
นอกจากนี้ในส่วนที่เจ๊เจี๊ยบเข้าร่วมชุมนุม และใช้ตำแหน่งส.ส.ประกันตัวพวกแกนนำ อาจเข้าข่ายสนับสนุนการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอก คณะกรรมการฯ มีความเห็นว่าไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่ชัดเจนและเพียงพอว่าเจ๊เจี๊ยบสนับสนุนการชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอก โดยแนวคิดหรือพฤติกรรมในการโพสต์ข้อความก็เป็นสิทธิและเสรีภาพในด้านความคิดและพฤติกรรมของผู้ถูกร้อง ซึ่งเป็นสิทธิและเสรีภาพของบุคคลในการแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ม. ๓๔ และในกรณีมีภาพเจ๊เจี๊ยบปรากฏอยู่ในพื้นที่ของการชุมนุม หากเป็นการชุมนุมภายใต้กรอบของกฎหมายบุคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมได้ ส่วนกรณีการประกันตัวแกนนำโดยใช้ตำแหน่งส.ส. คณะกรรมการฯลงความเห็นว่า นับเป็นการกระทำที่สามารถกระทำได้ตามกฎหมาย ดังนั้น เรื่องร้องเรียนดังกล่าวจึงยังไม่มีมูลเพียงพอว่า ผู้ถูกร้องมีการกระทำที่เป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการ พ.ศ. 2563 และมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 คณะกรรมการฯ จึงไม่รับเรื่องร้องเรียนไว้พิจารณา
ด้านกรณีขอให้ตรวจสอบจริยธรรมเจ๊เจี๊ยบที่เข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่ม REDEM ทางคณะกรรมการฯ พิจารณาแล้วเห็นว่า การที่ผู้ถูกร้องมีภาพถ่ายว่า อยู่ในการชุมนุมที่มีการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา จึงไม่สมควรจะถูกนำไปรวมว่า เป็นการกระทำของผู้ถูกร้อง หรือของผู้จัดการชุมนุม หรือของการชุมนุมโดยรวม นอกจากนี้ การโพสต์ข้อความพร้อมลงภาพถ่ายของผู้ถูกร้องในสถานที่ชุมนุมเพียงเท่านี้ยังไม่เป็นการเพียงพอที่ทำให้เชื่อว่า ผู้ถูกร้องเข้าร่วมกิจกรรมการชุมนุมกับกลุ่ม REDEM ประกอบกับ ผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่งส.ส. และยังดำรงตำแหน่งกรรมาธิการ และเลขานุการคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน ด้วยหน้าที่และอำนาจของผู้ถูกร้องดังกล่าว จึงพบผู้ถูกร้องอยู่ในสถานที่ชุมนุม หรือกิจกรรมการชุมนุม เพื่อร่วมสังเกตการณ์ในการชุมนุมดังกล่าว ดังนั้นเรื่องร้องเรียนดังกล่าวจึงยังไม่มีมูลที่ชัดเจนเพียงพอที่เชื่อได้ว่า ผู้ถูกร้องได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการชุมนุมที่เป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
เอาง่ายๆเรียกว่าปลดล็อคทั้งหมด ยกคำร้องทุกกรณีที่มีการร้องทุกข์กล่าวโทษเจ๊เจี๊ยบ ทั้งๆที่มองกันอย่างคนธรรมดาตรงไปตรงมา พฤติกรรมของเจ๊เจี๊ยบนั้นมันผิดเต็มๆผิดชัดเจน แทบไม่ต้องตั้งคณะอนุกรรมการไปดูไปตรวจสอบอะไรให้มากความ ความผิดโต้งๆแบบนี้ ไม่ต้องอ่านกฎหมายรู้ดูกฎหมายเป็น ก็ฟันธงได้เลยว่าไปละเมิดไปแสดงพฤติกรรมหยาบคายชั่วช้ากับคนอื่น หนึ่งในคนที่ออกมาสะท้อนความผิดปกติของการตัดสินเรื่องนี้ของคณะกรรมการฯ ก็คือ กนก รัตน์วงศ์สกุล ผู้ประกาศข่าวชายยอดนิยมของสถานีโทรทัศน์ ท็อปนิวส์ ที่ออกมาเขียนความเห็นสะท้อนจิตสะเทือนใจถึงการตัดสินคำร้องในเรื่องนี้ของคณะกรรมการฯ ความว่า กรณีคณะกรรมการจริยธรรมสภาผู้แทนราษฎร บอกว่า ส.ส. เชิญชวนให้แบนร้านสุกี้ และร้านอาหารญี่ปุ่น เหตุเพราะเป็นสปอนเซอร์ TOP NEWS นั้น เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นส่วนบุคคล ที่มีความรู้สึกต่อสินค้าเอกชน ซึงเป็นเสรีภาพของบุคคล ในการแสดงความเห็นตามรัฐธรรมนูญ ม.๓๔ และไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลใด จึงตีตก ปมสอบเรื่องนี้ คือ ส.ส.คนนี้ ไม่มีปัญหาทางจริยธรรม
๑. รัฐธรรมนูญ มีเจตนารมย์ที่จะให้การแสดงความเห็นส่วนบุคคลนั้น ส่งผลกระทบไปถึงด้านใดๆก็ได้หรือ? ในที่นี้คือ มีผลกระทบไปถึงการทำธุรกิจ ซึ่งในขณะนั้น ผู้ประกอบการทั้งหลาย ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิดอยู่แล้ว ยังต้องมาเจอท่าน ส.ส.ชวนให้แบนสินค้าอีก ๒. ทั้งร้านสุกี้ และร้านอาหารญี่ปุ่นนี้ ไม่ได้เป็นสปอนเซอร์ให้ TOP NEWS ตามที่ ส.ส.กล่าวอ้าง และเผยแพร่ข้อความ ทำให้เกิดการเข้าใจผิด ๓. แม้จะมีข้อความในวงเล็บประกอบ “ถ้าเข้าใจผิด ขอให้ทางเอกชนเร่งชี้แจง..” แสดงว่า ตัวเองก็ยังไม่แน่ใจ แล้วทำไมถึงไม่ตรวจสอบก่อน? ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในวิสัยที่คนเป็น ส.ส.จะหาความจริงได้ไม่ยาก ๔. ความจริง คือ ทั้งสองราย ไม่ได้เป็นสปอนเซอร์ (ไม่เคยเป็นด้วยซ้ำ) เมื่อรู้ความจริงแล้ว ก็ไม่ปรากฏว่า ส.ส.คนนี้ จะมีการแถลงข่าว หรือโพสต์ขอโทษอย่างเป็นทางการ ๕. คณะกรรมการฯระบุมาได้อย่างไรว่า “ ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลใด” คนเป็น ส.ส.เชิญชวนให้มาบอยคอตสินค้าเอกชน นี่หรือครับ ไม่เกิดความเสียหาย? ต่อให้ทั้งสองเจ้า เป็นสปอนเซอร์ของ TOP NEWS จริง ส.ส.ควรแสดงออกเช่นนี้ไหม? นี่คือการแสดงความเห็นตามรัฐธรรมนูญ ? คราวเดียวกัน คณะกรรมการชุดนี้ ยังพิจารณาจริยธรรม ส.ส.ที่กล่าวหา นายกฯแจกเงิน ส.ส. ๕ ล้าน กลางสภา ขณะอภิปรายไม่ไว้วางใจ คณะกรรมการก็ตีตกไปเช่นกัน เหตุผลคือ ส.ส.มีเอกสิทธิ์คุ้มครองในสภา ใครจะมากล่าวหาไม่ได้ ก็แสดงว่า ถ้า ส.ส.จะสำรอกคำพูดใดๆ ในสภาก็ได้ ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ ? ผมก็สงสัยว่า จะมีการงานใดเล่า ให้คณะกรรมการชุดนี้ ได้ตรวจสอบจริยธรรม ท่าน ส.ส.ผู้ทรงเกียรติ ? แล้วไม่ต้องเชิญชวนให้คนส่งคำร้องตรวจสอบ “เต้ ฟ้าเปิด” หรอกครับขอเสียมารยาท คาดว่าก็คงจะถูกตีตกเช่นกัน
เป็นเสียงสะท้อนเล็กๆแต่เชื่อว่าคนไทยหัวใจรักชาติคนไทยหัวใจภักดีคงคิดเหมือนๆรู้สึกคล้ายๆกับสิ่งที่กนกถ่ายทอดผ่านเฟซบุ๊คเหมือนๆกัน บอกเลยว่ากรณีเจ๊เจี๊ยบนี้ไม่ใช่ครั้งแรกและไม่ใช่ครั้งเดียวที่ออกมาพูดจาสามหาวก้าวล่วงคนอื่นในลักษณะทำนองนี้ ก่อนหน้านี้ก็ออกมาจาบจ้วงสถาบันลามปามเจ้านายอยู่บ่อยครั้ง พูดจาฉวัดเฉวียนเขียนโพสต์กระแหนะกระแหนไปมา คนไทยรู้ดีว่าเป้าหมายอยู่ตรงไหนต้องการต่อว่ากล่าวหาใคร ระวังนรกจะกินหัวเพราะทั่วแผ่นดินมีแต่คนสาปแช่ง ถ้าไม่เพราะรู้กฎหมายถ้าไม่เพราะเป็นส.ส.ถ้าไม่มีเอกสิทธิ์ผู้แทนราษฎรคุ้มกะลาหัว ป่านนี้มีหวังติดคุกหัวโตกินข้าวแดงไปนานแล้ว แต่เพราะเป็นผู้แทนเป็นอภิทธิ์ชนจึงสามารถอ้าปากด่ากราดคนอื่นๆได้สบาย ด่าเจ้านับครั้งไม่ถ้วนเสียดสีสถาบันไม่เคยหยุดหย่อน แต่แปลกที่ไม่เคยถูกเอาผิดโดนลงโทษเลย ล่าสุดโมโหสถานีโทรทัศน์ท็อปนิวส์ที่พูดความจริงที่เปิดสงครามกันคนชั่วดูแลแผ่นดินปกป้องสถาบัน จู่ๆวันดีคืนดีก็พูดลอยลมเขียนเฟซบุ๊คบิดเบือนให้พวกสามกีบยุก๊วนล้มเจ้ายกเลิกอุดหนุนธุรกิจที่ตัวเองเข้าใจผิดคิดว่าสนับสนุนสถานีโทรทัศน์ท็อปนิวส์ “ เลิกกิน (สุกี้ยอดนิยม) และ (อาหารญี่ปุ่นเจ้าดัง) แม้จะเป็นร้านโปรด จนกว่าจะเลิกเป็นสปอนเซอร์ให้ช่อง TOP NEWS หากเป็นการเข้าใจผิดขอให้ (สุกี้) เร่งชี้แจงข้อเท็จจริง”
เป็นส.ส.เป็นผู้ทรงเกียรติเป็นตัวแทนประชาชน พูดพล่อยๆให้ข้อมูลลอยๆ แบบนี้มันได้หรือ กล่าวหาธุรกิจการค้าที่เขาทำมาหากินแบบสุจริตชนมันใช้ได้ที่ไหน ถ้าเป็นความจริงตามที่เจ๊เจี๊ยบกล่าวอ้างก็นับว่าแย่มากแล้ว เพราะโลกปัจจุบันการที่เอกชนจะสนับสนุนจะเป็นสปอนเซอร์ให้สถานีโทรทัศน์ช่องใดสื่อเจ้าไหนก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาในโลกแห่งการค้ายุคโลกาภิวัฒน์ ไม่มีธุรกิจบ้าบอที่ไหนจะทำการค้าแบบตัวคนเดียว ไม่มีพันธมิตรไร้พาทเนอร์ไม่มีคนช่วยเหลือสนับสนุนกัน เพราะธุรกิจทุกวันนี้ต่างก็ต้องพึ่งพาอาศัยเกื้อกูลกันทั้งหมดทั้งมวล ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับการค้าการขายในยุคปัจจุบัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าธุรกิจเหล่านั้นคิดเหมือนกันหมดมองทุกอย่างเป็นแท่งเดียวกัน เรื่องพวกนี้ใครเป็นส.ส.ใครเป็นผู้แทนน่าก็จะมองออก ยกเว้นใจดำใฝ่ต่ำจนทำให้หน้ามืดตามัว ยิ่งถ้าเป็นข้อมูลไม่จริงแต่เอามาโกหกพกลมพูดจากล่าวร้ายป้ายสีคนอื่นไปเรื่อยเพื่อหวังทำลายคนอื่น ที่ตัวกูพวกกูฝ่ายกูเชื่อว่าเห็นต่างอยู่คนละข้างกัน ไม่อยู่กับกูไม่เป็นพวกกูต้องทำลายทำร้ายให้หมด อย่างนี้สมควรประนามเพราะเป็นพวกทำการเมืองแบบน่าขยะแขยง กรณีของแบรนด์สุกี้ยอดนิยมกับอาหารญี่ปุ่นเจ้าดังที่ตกเป็น “เหยื่อ” ของคนปากมอมใจโคตรบาป ถือเป็นตัวอย่างให้เห็นชัดๆถึงความชั่วช้าเลวทรามของผู้แทนอันทรงเกียรติของไทย (บางคน) ทำงานในที่สูงล้ำนั่งบนสัปปายะสภาสถาน แต่จิตใจชั่วช้าวาจาต่ำตม ถามว่าพูดแล้วไม่รับผิดชอบทำแบรนด์เขาเสียหายลูกค้าเขาเข้าใจผิดรับผิดชอบกับการพูดการเขียนของเขาอย่างไรบ้าง หรือสักแต่พูดเอามันส์พูดให้หายคันอย่างเดียว
แปลกแต่จริงที่เรื่องชั่วช้าสามานย์พรรค์อย่างนี้ชาวบ้านเขาเข้าใจตาสีตาสารู้เห็นผิดชอบชั่วดีได้ทั้งหมด มีแต่คณะกรรมการจริยธรรมฯ ที่ประกอบด้วยผู้อาวุโสอันทรงเกียรติ นักการเมืองแถวหน้าของการเมืองไทย กลับไม่รู้ร้อนรู้หนาวไม่ยินดียินร้ายที่จะเอาผิดกับต่ำช้าเลวทรามที่เกิดขึ้นเลย ไล่เรียงรายชื่อคณะกรรมการแต่ละคน ดูชื่อแต่ละตำแหน่ง ก็ล้วนแล้วแต่กระบี่มือหนึ่งด้วยกันทั้งนั้น อาทิ ๑.ประธานสภาผู้แทนราษฎร ๒.ผูู้นําฝ่ายค้าน ๓.ประธานคณะกรรมาธิการกิจการสภาผู้แทนราษฎรกรรมการ ๔.ประธานกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร พรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล ๕.ประธานกรรมการประสานงานพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ๖.บัญญัติ บรรทัดฐาน พรรคประชาธิปัตย์ ๗. วันมูหะมัดนอร์ มะทา พรรคประชาชาติ ๘. เทอดพงษ์ ไชยนันทน์ พรรคประชาธิปัตย์ ๙. นิกร จํานง พรรคชาติไทยพัฒนา ๑๐.วันเพ็ญ พร้อมพัฒน์ พรรคพลังประชารัฐ ๑๑ . สุรสิทธิ์ นิธิวุฒิวรรักษ์ พรรคพลังประชารัฐ ๑๒.ชวลิต วิชยสุทธิ์ พรรคเพื่อไทย ๑๓.ณัฐวุฒิ บัวประทุม พรรคก้าวไกล ๑๔. บุญรื่น ศรีธเรศ พรรคเพื่อไทย ๑๕ . วิรัตน์ วรศสิริน พรรคเสรีรวมไทย ล้วนแล้วแต่เป็นผู้อาวุโสทางการเมืองแก่พรรษาด้วยกันทั้งนั้น เหตุใดจึงปล่อยผ่านถือหางคนพาลให้ได้ใจแบบนี้
เท็จจริงต้องพิสูจน์ข่าวว่าคณะกรรมการฯชุดนี้โปรดเกล้าฯมาตั้งแต่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๓ แต่จนถึงวันนี้ยังไม่มีผลงานใดๆออกมาให้เห็นเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่แปลกที่ผู้คนจะครหาว่าเป็นคณะกรรมการ “ตรายาง” ลงโทษเอาผิดไม่มีจริง พิจารณาเรื่องใดก็มีแต่ซูเอี๋ยปล่อยผ่านให้พ้นผิดทำชั่วกันได้สบาย เกือบ ๒ ปี ไม่เคยมีฟาดโทษลงทัณฑ์ใครให้เห็นเป็นเยี่ยงอย่าง ล่าสุดตัดสินกรณีพีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค ส.ส.พรรคไทรักธรรม ถูกกล่าวหาหลอกลวงเงิน 5 แสนบาทแลกกับโควต้าสลากกินแบ่งรัฐบาล ผลปรากฎไม่พบความผิดว่าพีระวิทย์ทำ ลงโทษอย่างเบาหวิวลงดาบเหมือนเล่นลิเก แค่ออกหนังสือเตือนอ้างเพราะคนใกล้ชิดเป็นคนทำพีระวิทย์ไม่รู้เรื่อง ก่อนหน้านี้ไม่ว่าหยิบจับเรื่องอะไรแรกเริ่มดูขึงขังแต่สุดท้ายก็เหี่ยวปลายเอาผิดใครไม่ได้เลย กรณีวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย พูดเท็จในสภากล่าวหาพล.อ.ประยุทธ์ แจกเงิน ๕ ล้านให้กับ ส.ส. บริเวณชั้น ๓ ของรัฐสภา ในช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่คราวก่อนก็ตีตกปล่อยหลุดไป อ้างว่าได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ม. ๑๒๔ ที่ระบุว่า บุคคลใดจะนำการกล่าวถ้อยคำนั้นไปเป็นเหตุฟ้องร้องว่ากล่าวในทางใดๆ ไม่ได้ ซึ่งรวมถึงไม่สามารถนำมาเป็นเหตุร้องเรียนหรือดำเนินการใดๆ ในทางจริยธรรมด้วย หรือกรณีเจ๊เจี๊ยบถูกกล่าวหามีปฏิกิริยาและท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็ยกคำร้องเพราะไม่ปรากฏรายละเอียดข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐาน ฯลฯ
ลองไปอ่านประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการ พ.ศ. ๒๕๖๓ ซึ่งเป็นแม่บทในการทำงานของส.ส.ในสภา เขาเขียนเขาระบุไว้ชัดเจนถึงสิ่งที่ผู้แทนควรทำและต้องทำ โดยเฉพาะเรื่องสถาบัน ใน หมวด ๑ อุดมคติของการเป็นสมาชิกและกรรมาธิการ ข้อ ๖ สมาชิกและกรรมาธิการต้องจงรักภักดีและพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ขณะที่หมวด ๒ จริยธรรมอันเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกและกรรมาธิการ ข้อ ๑๒ สมาชิกและกรรมาธิการต้องเคารพสิทธิ เสรีภาพส่วนบุคคลของผู้อื่น ไม่แสดงกิริยาหรือ ใช้วาจาอันไม่สุภาพ มีลักษณะเป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท เสียดสีหรือใส่ร้ายป้ายสีบุคคลใด หรือนำเอา เรื่องที่เป็นเท็จมาอภิปรายแสดงความเห็นในที่ประชุมหรือที่อื่นใด ถามดังๆกลับไปถึงประธานชวนถึงอรหันต์คณะกรรมการฯทั้ง ๑๕ คน ได้เวลาเด็ดขาดหรือยัง ได้เวลาเอาจริงเอาจังหรือยัง ตั้งคณะอนุกรรมการฯขึ้นมาสอบสวนแบบลูบหน้าปะจมูก พิจารณาความผิดแบบขอไปทีอุ้มกันเองล้วนๆ มีเอกสิทธิ์คุ้มหัวจะด่าจะใครในสภาจะสำรอกกล่าวหาใครก็ได้อย่างนั้นหรือ นานวันส.ส.จะมีแต่เสื่อมลง สภาผู้แทนจะมีแต่เสื่อมทรุด เป็นผู้แทนปากตลาดวาจากักขฬะแซะเบื้องสูงเหยียดสถาบันมาเป็นชาติ ปากพล่อยพูดเท็จกล่าวหาธุรกิจอย่างไร้ยางอาย คนไทยทั้งชาติเห็นหมดคนทั่วประเทศรู้ดีแต่พวกท่านกลับไม่รู้ไม่แคร์ไปมุดรูอยู่ไหนมา ระวังคนรุ่นนี้เขาจะหาว่าแก่กะโหลกกะลาหรือที่สำนวนคนโบราณเขาว่า “แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน” ด้วยความเคารพจริงๆ
//////////////////