ประเด็นร้อนอีกเรื่องของชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ว่าที่ผู้ว่าฯกทม.คนที่ 17 แต่เป็นผู้ว่าฯกทม.ที่มาจากการเลือกตั้งคนที่ 8 ของคนเมืองหลวง ก่อนหน้านี้ก็มีประเด็นเรื่องไปพูดบนเวทีกลุ่มสามนิ้วล้มเจ้าในตลาดนัดราษฎรแสดงความเห็นเรื่องการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา ม.112 ในลักษณะถือหางสามนิ้วเอาใจคนล้มเจ้าให้ท้ายพวกเกลียดชังสถาบัน พลอยทำให้คนที่อุตส่าห์เลือกชัชชาติโดยเฉพาะคนรักชาติคนเทิดทูนสถาบันต้องผิดหวังกับคำพูดของชัชชาติไปด้วยล่าสุดยังมีประเด็นเรื่องการรับรองผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ที่แล้วเสร็จไปตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 22 พ.ค.2565 ที่ชัชชาติสร้างประวัติศาสตร์เป็นผู้ว่าฯกทม.ที่มาจากการเลือกตั้งซึ่งได้คะแนนสูงสุดจากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งถึง 1,386,215 คะแนน จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 4,402,948 คน ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้ง 2,673,696 คน คิดเป็นร้อยละ 60.73 ของผู้มาใช้สิทธิ อย่างไรก็ตามตั้งแต่เลือกตั้งจนถึงวันนี้รวมแล้ว 9 วัน แต่ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังไม่มีการประกาศรับรองชัชชาติให้เป็นผู้ว่าฯกทม.อย่างเป็นทางการแต่อย่างใด
ด้วยเหตุผลที่ว่ามีการร้องเรียนการกระทำความผิดของชัชชาติใน 2 ประเด็นคือ 1.ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นคำร้องขอให้ไต่สวนชัชชาติ กรณีทำป้ายหาเสียงเป็นผ้าไวนิลมีเจตนาแฝงเพื่อให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถนำไปรีไซเคิลทำกระเป๋า-ผ้ากันเปื้อน เข้าข่ายกระทำการเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเองด้วยวิธีการ จัดทำให้ เสนอให้ สัญญาว่าจะให้ หรือจัดเตรียมเพื่อจะให้ ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้หรือไม่ และ 2.การร้องเรียนเกี่ยวกับระบบราชการ ซึ่งเป็นการแจ้งผ่านหน่วยงานอื่นไม่ใช่กกต.โดยตรง กล่าวโทษชัชชาติทำนองพูดปราศรัยว่า ระบบราชการอาจจะส่งผลต่ออุปสรรคการปฏิบัติงานเพราะมีขั้นตอนเยอะ เสมือนเป็นการดูถูกระบบราชการ ที่สุดจึงทำให้กกต.ยังไม่ประกาศรับรองชัชชาติเป็นผู้ว่าฯกทม. แต่พิจารณาปลดล็อคสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ไปแล้ว 40 คนจาก 50 คน กรณีนี้เลยกลายเป็นประเด็นให้แฟนคลับของชัชชาติและบรรดากองเชียร์ของว่าที่ผู้ว่าฯกทม.คนใหม่ ที่มีทั้งนักการเมืองพรรคเพื่อไทยพรรคฝ่ายค้าน นักวิชาการหัวแสงโหนกระแส แม้แต่เอฟซีที่เป็นชาวบ้านคนธรรมดา ฯลฯ ต่างหัวเสียไม่พอใจพาลพากันด่ากกต.วิพากษ์วิจารณ์กรรมการการเลือกตั้งกันแบบเสียๆหายๆ ถ่วงเวลาล่าช้ารับงาน สารพัดคำติฉินนินทาในโลกโซเชี่ยลฯ รุมด่ากกต.จนเละตุ้มเป๊ะกลายสภาพเป็น “ตำบลกระสุนตก” ทั้งๆที่ความเป็นจริงกฎหมายและระเบียบกำหนดอำนาจให้กกต.มีอำนาจและเวลาในการตรวจสอบผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.และท้องถิ่นได้อยู่แล้ว
ในพ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2562 ม. 17 ระบุเรื่องนี้ไว้ชัดเจน “ ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นขององค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นใดตามพระราชบัญญัตินี้ เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งตรวจสอบเบื้องต้นแล้วมีเหตุอันควร เชื่อว่าผลการเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม ให้ประกาศผลการเลือกตั้งนั้นภายใน 30 วัน นับแต่วันเลือกตั้ง ในกรณีมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ไม่ว่าจะมี ผู้ร้องเรียนกล่าวโทษหรือไม่ ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งดำเนินการสืบสวนหรือไต่สวนให้แล้วเสร็จ และประกาศผลการเลือกตั้ง หรือจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ หรือดำเนินการอื่นที่จำเป็น แล้วแต่กรณี โดยเร็ว แต่ต้องไม่ช้ากว่า 60 วันนับแต่วันเลือกตั้ง……การประกาศผลการเลือกตั้งตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ไม่เป็นการตัดหน้าที่และอำนาจ ของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่จะดำเนินการสืบสวน ไต่สวน หรือวินิจฉัย เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่า การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม” กฎหมายก็มีเขียนไว้ชัด เป็นตาสีตาสาชาวบ้านถ้าไม่รู้เรื่องนี้ก็ยังพอให้อภัย แต่เป็นนักการเมืองมีอาชีพนักวิชาการไม่รู้เรื่องนี้ก็ลาออกไปเถอะ แต่ถ้ารู้แล้วยังมาทวงถามยังมาเร่งให้กกต.ประกาศผลรับรองชัชชาติตามกระแส ถ้าไม่หิวแสงก็ห้อยโหนชัชชาติจนคอหัก
ย้อนอดีตไปไกลๆเคยมีกรณีเอา “กระแส” มากดดันมาสยบ “ความถูกต้อง” ทางกฎหมายอยู่หลายครั้งเพื่อหวังทำลายด้อยค่าการทำงานของศาลและองค์กรอิสระอย่างป.ป.ช.หรือ กกต. แต่ที่คนไทยจำได้แม่นคอการเมืองจำได้ดี คือกรณีนายใหญ่คนแดนไกลนักโทษหนีคดีอย่างทักษิณ ชินวัตร หลังตั้งพรรคไทยรักไทยในปี 2543 ก่อนชนะเลือกตั้งได้เป็นนายกฯ เมื่อ 9 ก.พ.2544 ปรากฎว่าก่อนหน้านั้นทักษิณโดนคณะกรรมการป้องกันและปรามปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ (ป.ป.ช.) ยุคที่มีโอภาส อรุณินท์ เป็นประธานชี้มูลความผิดว่าแจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ มติ 8 ต่อ 1 ตามรัฐธรรมนูญ ม. 295 ห้ามไม่ให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและภรรยาถือหุ้นในบริษัทเอกชนตามที่กฎหมายกำหนด แต่ทักษิณกลับปกปิดความลับในการเป็นเจ้าของหุ้น โดยเล่นแร่แปรธาตุโอนหุ้นที่มีอยู่ไปให้คนรับใช้ คนรถ และคนสวนถือแทน พร้อมโต้แย้งต่อสู้ว่ารัฐธรรมนูญเขียนไม่ชัดกฎหมายเขียนไม่ครอบคลุมมีการแก้ไขกฎหมายหลายครั้งและไม่ใช่หน้าที่ของตัวเองที่ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สินของบุคคลอื่น จึงทำให้เกิดความสับสนเข้าใจผิดและยืนยันไม่มีเจตนาจะหลีกเลี่ยงกฎหมาย ขณะที่ฝ่ายป.ป.ช.หักล้างว่า ข้อชี้แจงฟังไม่ขึ้น ทรัพย์สินของตัวเองแม้ไปฝากที่คนอื่นก็ต้องมีการแจ้ง การแก้ไขกฎหมายหลายครั้งไม่ได้เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญ ไม่มีรัฐมนตรีคนใดในรัฐบาลไม่เข้าใจเรื่องนี้หรือยกเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างในการแจ้งหรือไม่แจ้งบัญชีทรัพย์สินเลย คดีดังกล่าวถูกเรียกว่า “คดีซุกหุ้นภาคแรก” ที่ตอนนั้นทักษิณกำลังขึ้นหม้อได้เป็นนายกฯครั้งแรก ด้วยการนำพรรคไทยรักไทยโค่นแชมป์เก่าอย่างพรรคประชาธิปัตย์ล้มนายหัวชวน หลีกภัย ลงได้อย่างราบคาบในการเลือกตั้งเมื่อ 6 ม.ค.2544 โดยกวาดส.ส.มาทั้งสิ้น 248 คน ได้คะแนนเสียงทั่วประเทศมากถึง 11,634,495 คะแนน ทิ้งห่างพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้ส.ส.แค่ 128 คน ได้คะแนนทั่วประเทศ 7,610,789 คะแนน แบบไม่เห็นฝุ่น เพราะทักษิณใช้กุศโลบาย “ซื้อยกเข่ง-เซ้งยกพรรค” ดูดมาหมดทั้งวงการกว้านมาทุกก๊ก ไล่ตั้งแต่ พรรคความหวังใหม่ของ “พ่อใหญ่จิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ พรรคเสรีธรรมของพินิจ จารุสมบัติ ก๊วนบุรีรัมย์ของเนวิน ชิดชอบ จากพรรคชาติไทย ตกเขียวกลุ่มชลบุรีของสนธยา คุณปลื้ม ชวนกลุ่มบ้านริมน้ำของสุชาติ ตันเจริญ เหมาเข่งพรรคชาติพัฒนา กลุ่มลำตะคองของสุวัจน์ ลิปตพัลลภ สอยอนุทิน ชาญวีรกูล กลุ่มอดิศัย โพธารามิก กลุ่มสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ สมศักดิ์ เทพสุทิน ดึงยงยุทธ ติยะไพรัช มาจากพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จากพรรคพลังธรรม กลุ่มบ้านใหญ่ ตระกูลสะสมทรัพย์ เป็นต้น
18 มิ.ย. 2544 ทักษิณเดินทางไปแถลงต่อศาลรัฐธรรมนูญด้วยตัวเอง อ้างเหตุผลในการให้คนอื่นถือหุ้นแทน เป็นไปตามหลักของธุรกิจและถือเป็นเรื่องปกติ ส่วนปัญหาที่เกี่ยวกับกฎหมายนั้นก็เป็นเรื่องของแบบฟอร์มการแจ้งทรัพย์สินที่ไม่ชัดเจนทำให้ติ๊กผิด พร้อมยกอมตะวาจาของคนโกง “บกพร่องโดยสุจริต” ขึ้นมาเป็นข้ออ้างบรรเทาโทษกับศาล อย่างไรก็ตามระหว่างที่รอศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน ก็มีกระแสกดดันมหาศาลจากฝากฝั่งกองเชียร์คนรักทักษิณคนคลั่งนักการเมืองทุนนิยมเลยของขึ้นทนไม่ได้ ตอนนั้นทั้งนักการเมืองฝ่ายเดียวกัน นักวิชาการ นักเคลื่อนไหว พลเมืองอาวุโส ดารา นักร้อง คนดัง ฯลฯ ต่างพาเหรดออกมาโอบอุ้มทักษิณหนุนโทนี่เป็นการใหญ่ ด่าศาลรัฐธรรมนูญเช็ดเม็ดแช่งป.ป.ช.ให้ตายห่า มีการล่าชื่อนับแสนชื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญยื้อเรื่องนี้ออกไปเพื่อช่วยทักษิณ ผู้นำล่ารายชื่อประชาชนสนับสนุนทักษิณในตอนนั้นก็มีทั้ง นพ.เสม พริ้งพวงแก้ว อดีตรมว.สาธารณสุข ที่ให้สมญา “อัศวินควายดำ” แก่ทักษิณ ในฐานะผู้นำมาจากการเลือกตั้งของประชาชนอย่างถล่มทลาย และเสียงส่วนใหญ่มาจากเกษตรกร ซึ่งมีควายเป็นเครื่องมือทำมาหากิน จึงเปรียบทักษิณเหมือนอัศวินควายดำมาปลดทุกข์ให้ชาวบ้าน นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส รวมถึงพล.ต.จำลอง ศรีเมือง จากค่ายสันติอโศก เป็นต้น โดยอ้างว่าเพื่อให้ทักษิณได้อยู่บริหารบ้านเมืองต่อไปเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ ผลจากการกดดันของกระแสสังคมในตอนนั้นปรากฎว่าศาลรัฐธรรมนูญตัดสินออกมา 8 ต่อ 7 ทักษิณรอดคดีแบบหวุดหวิด แต่ก็ตามมาด้วยข้อกังขามากมายว่าทักษิณซื้อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม นำมาซึ่งการร้องถอดถอนตุลาการรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก 4 คน ที่ถูกกล่าวหาว่ามีเอี่ยวกับเรื่องนี้ นั้นคือครั้งแรกที่มีการโหนกระแสมาล้มความถูกต้อง
ส่วนยุคยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯน้องสาว ก็มีการปลุกกระแสต้านศาลหมายหัวตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ รอบนี้ถึงขั้นใช้พลังมวลชนเข้ากดดันอย่างหนัก ในช่วงเดือน เม.ย.- พ.ค. 2556 ถึงขนาดมีการจัดมวลชนออกมาเคลื่อนไหวประกาศขับไล่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ให้ลาออกทั้งคณะครบ 9 คน โดยใช้ช่องทางของกลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ กวป. ที่ประกาศระดมคนเป็นแสนปิดล้อมศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ถัดมาก็เป็นยุคคู่หูล้มเจ้า “ธนาธร-ปิยบุตร” กรณีคดียุบพรรคอนาคตใหม่ มีการใช้กระแสในโซเชี่ยลฯ ล่ารายชื่อกดดันศาลเช่นเดียวกัน แต่ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยเฉพาะการตั้งกระทู้ในเวบไซต์ change.org โดย ศ.ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ และยังมีคนดังอย่างอย่าง ส.ศิวรักษ์ นักวิชาการอิสระและนักเขียนรางวัลศรีบูรพา เสกสรรค์ ประเสริฐกุล อดีตผู้นำนักศึกษา 14 ตุลาฯ พร้อมใครต่อใครอีกหลายคน ร่วมสนับสนุนเพียงแต่รูปแบบล่ารายชื่อ ได้เปลี่ยนไปจากตั้งโต๊ะไปเป็นลงชื่อผ่านสื่อออนไลน์ตามยุคสมัยโดยมีผู้ร่วมโหวตคัดค้านยุบอนาคตใหม่ในตอนนั้นราว 3 หมื่นคน ทั้งหมดคือการใช้กระแสเข้ามาสยบความถูกต้องในแต่ละยุคสมัย
ย้อนอดีตกลับไปคราวเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.รอบที่แล้วเมื่อ 9 ปีก่อน ในวันที่ 3 มี.ค.2556 ครั้งนั้น “คุณชายหมู” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ลงป้องกันแชมป์สมัยที่ 2 ตัวเองก่อนชนะการเลือกตั้งปาดหน้าแซงโค้งสุดท้ายชนะพล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ จากพรรคเพื่อไทย ด้วยคะแนนมากที่สุดในตอนนั้นถึง 1,256,349 คะแนน ส่วนพล.ต.อ.พงศพัศได้ไป 1,077,899 คะแนน แต่กว่ากกต.จะรับรองให้ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์เป็นผู้ว่าฯกทม. ก็ล่วงเลยถึงวันที่ 27 มี.ค. พ.ศ. 2556 รวมแล้วใช้เวลาพิจารณาถึง 24 วัน ตอนนั้นก็มีคนในพรรคประชาธิปัตย์ออกมาบ่นงึมงัมๆรายวันตามปะสาพวกเดียวกัน แต่ก็ไม่มีการใช้กระแสใช้โซเชี่ยลฯใช้ความเห็นของสังคมมากดดันกกต.เหมือนคราวนี้แต่อย่างใด ความจริงเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.เพิ่งผ่านมาไม่ถึง 10 วัน เอฟซีชัชชาติไม่ควรกระเหี้ยนกระหือรือเร่งเร้าให้กกต.รับรองผลแบบลวกๆสุกเอาเผากิน กกต.เขามีกระบวนการเขามีกฎหมายควบคุมอยู่แล้ว ถ้าเชื่อว่าเลือกตั้งบริสุทธิ์ยุติธรรมจริงภายใน 30 วันเขาก็ปล่อยผีให้ชัชชาติเข้าห้องทำงานที่ศาลาว่าการกทม.นั่งบริหารเสาชิงช้ายาวๆจนครบ 4 ปีอยู่แล้ว ให้เวลาคนกลางได้ตรวจสอบข้อร้องเรียนของผู้ที่ร้องมาให้มันถูกต้องตามครรลองไม่ดีกว่ารึ ช้าไปนิดสายไปหน่อยแต่ทำให้ชัชชาติขึ้นเป็นผู้ว่าฯกทม.อย่างถูกต้องงดงามจะไม่ดีกว่ารึ หาเสียงมาตั้งเกือบ 3 ปี เดินครบทุก 50 เขต มีนโยบายตั้ง 214 ข้อ รอเวลาอีกนิดช้าลงไปอีกหน่อยคงไม่ทำให้ภารกิจผู้ว่าฯกทม.เสียหายไปเท่าไหร่หรอก อุตส่าห์ได้คะแนนเสียงจากคนกรุงมาแบบถล่มทลาย ชนะการเลือกตั้งกทม.แบบแลนด์สไลด์ ได้เป็นผู้ว่าฯกทม.แบบม้วนเดียวจบ อย่ามาตายน้ำตื้นตกเป็นขี้ปากชาวบ้านด้วยเรื่องขี้ปะติ๋วแบบนี้เลย เดี๋ยวเขาจะกล่าวหาว่าเอาได้ว่าผู้ว่าฯคนใหม่ “ตัวใหญ่แต่ใจมด” ใจเร็วด่วนได้รอไม่เป็น
///////////////////