วันที่ 29 มิ.ย. – พลโท สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า ตามที่ศบค. ได้ออกประกาศมาตรการเร่งด่วนเพื่อสกัดกั้นการระบาดในพื้นที่เป้าหมายเฉพาะ ควบคุมที่พักแรงงานและเขตก่อสร้างที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดโควิดใน กทม., ปริมณฑล และจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวม 10 จังหวัดนั้น พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ได้กำชับให้ทุกกองทัพภาคบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่รับผิดชอบสนับสนุนในมาตรการดังกล่าวอย่างเต็มขีดความสามารถเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฉพาะการควบคุมพื้นที่ให้มีความปลอดภัยในการป้องกันเชื้อ ทั้งกับคนงานและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน ที่ต้องดำรงมาตรการพิทักษ์พลอย่างเคร่งครัด เพื่อร่างกายแข็งแรงพร้อมปฏิบัติภารกิจ ควบคู่ไปกับการขอความร่วมมือให้ทุกส่วนในพื้นที่เสี่ยงปฏิบัติตามมาตรการเร่งด่วนของศบค.
ทั้งนี้ในพื้นที่ กทม. ซึ่งกองทัพบกได้รับมอบหมายให้ดูแลใน 27 เขตนั้น กองทัพบกโดยกองทัพภาคที่ 1 ได้จัดกำลังร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและเทศกิจเข้าดูแลควบคุมแคมป์ที่เกิดการแพร่ระบาดตามที่กทม. กำหนดแล้ว 45 แห่ง สำหรับในเขตปริมณฑลและจังหวัดชายแดนภาคใต้ กองทัพภาคที่ 1 และ 4 ก็ได้ดำเนินการร่วมกับทางจังหวัดตรวจสอบพื้นที่เพื่อควบคุมแคมป์คนงานที่เกิดคลัสเตอร์ในรูปแบบเดียวกัน รวมทั้งการจัดตั้งจุดตรวจร่วมควบคุมการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามพื้นที่ในช่วง 30 วันจากนี้ โดยรัฐบาลได้ให้ความเร่งด่วนในการฉีดวัคซีนให้กับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยจากการปฏิบัติหน้าที่ในครั้งนี้ อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นการบรรเทาและช่วยเหลือประชาชน ผู้บัญชาการทหารบกยังได้กำชับให้หน่วยทหารเข้าช่วยอุดหนุนผู้ประกอบการร้านค้าที่ได้รับผลกระทบในช่วงมาตรการเฉพาะด้วย
พลโท สันติพงศ์ กล่าวต่อว่า และจากการที่กองทัพบกจะดำเนินการรับทหารใหม่ ผลัด 1/64 ซึ่งหน่วยฝึกทหารใหม่ทั่วประเทศได้มีการเตรียมมาตรการป้องกัน COVID-19 อย่างเคร่งครัด ตั้งแต่การรายงานตัว การเดินทาง พิธีแรกรับเข้าสู่หน่วยทหาร ที่สำคัญจะมีการตรวจคัดกรองและเตรียมการด้านการแพทย์รองรับผู้ที่มารายงานตัวเข้าประจำการแล้วตรวจพบว่ามีการติดเชื้อ COVID-19 รวมถึงการฉีดวัคซีนให้กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและทหารใหม่ โดยกองทัพบกเตรียมแผนฉีดวัคซีนให้กับทหารใหม่ทุกนายในสัปดาห์แรกที่เข้าประจำการ ผู้บัญชาการทหารบกให้ความสำคัญกับการดูแลทหารกองประจำการให้เป็นไปแบบวิถีใหม่อย่างเคร่งครัด นอกเหนือจากการบ่มเพาะให้มีวินัยด้านการทหาร โดยมอบให้หน่วยทหารพิจารณาปรับรูปแบบการฝึกและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ภายในหน่วยทหารในทุกกิจการกิจกรรม รวมถึงการฝึกทหารกองประจำการทุกนายให้เกิดทักษะในเรื่องการดำเนินชีวิตวิถีใหม่ ในการปฏิบัติงานและการดำเนินชีวิตประจำวัน