เข้าถึงช่วงโค้งสุดท้ายก่อนถึงวันเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. 22 พ.ค.2565 ที่ถือเป็นวันประวัติศาสตร์ในการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.คนที่ 17 มาบริหารเมืองกรุงดูแลเสาชิงช้า โดยจะเป็นผู้ว่าฯกทม.ที่มาจากการเลือกตั้งคนที่ 8 หลังจากไม่ได้มีการเลือกตั้ง ผู้ว่าฯกทม.มานานถึง 9 ปี นับตั้งแต่เลือกตั้งครั้งสุดท้ายเมื่อ 29 มี.ค.2556 ตอนนี้ “ตัวเก็ง-เต็งหนึ่ง” จากโพลล์เกือบทุกสำนักไม่ว่าจะเป็นนิด้าโพลล์ , ซุปเปอร์ โพลล์, ธรรมศาสตร์โพลล์ , สถาบันพระปกเกล้าโพลล์ ,บ้านสมเด็จโพลล์ ฯลฯ ชี้ไปที่ “เสี่ยทริป” ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครอิสระ หมายเลข 8 ที่นำโด่งทุกครั้งทุกรอบที่สำรวจเกือบทุกโพลล์ในทุกครั้งที่สำรวจจนถึงปัจจุบัน ด้วยเหตุที่เป็นบุคคลมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของสังคมเพราะอดีตของชัชชาติคือเสนาบดีเจ้าของรหัส “ราชรถ 1” เป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมยุค “นายกฯน้องสาว” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แม้ผลงานไม่โดดเด่น แต่สร้างชื่อด้วยการสร้างคอนเทนต์ด้วยภาพพจน์รัฐมนตรีตีนติดดิน ขวัญใจนักเรียน นิสิต นักศึกษา คนทำงาน ขึ้นรถเมลล์ไปทำงาน เดินตีนเปล่าใส่บาตรออกกำลังกาย จนกลายเป็นขวัญใจวัยรุ่นในโลกออนไลน์ ถึงขนาดได้รับฉายาว่า“ รัฐมนตรีที่แข็งแกร่งสุดในปฐพี” แถมเปิดตัวประกาศลงผู้ว่าฯกทม.เดินหาเสียงลงพื้นที่ก่อนใครเพื่อนตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว สำคัญสุดคือแม้เจ้าตัวจะประกาศตัว นั่งยัน ยืนยัน นอนยันว่า ลงอิสระ แต่ใครๆก็รู้ว่าเบื้องหลังมีพรรคเพื่อไทยและคนแดนไกลหนุนหลัง แต่เหตุที่ชัชชาติไม่ขอลงในนามพรรค ถึงขนาดมีข่าวไปขอไฟเขียวทักษิณ ชินวัตร เจ้าของพรรคตัวจริงที่ดูไบให้ช่วยสนับสนุนแต่ไม่ขอลงในนามพรรคเพื่อไทย เพราะกลัวจะซ้ำรอยอกหักเหมือนตัวแทนพรรคที่เคยชวดเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม.5 คนก่อนหน้านี้
ไล่ตั้งแต่ 23 ก.ค.2543 พรรคไทยรักไทยส่ง “เจ๊หน่อย” สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่กระแสกำลังมาแรงในเมืองกรุงแต่เอาเข้าจริงก็ได้ใจคนกรุงไปแค่ 521,184 คะแนน พ่ายแพ้ต่อ “ลุงหมัก” สมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคประชากรไทยที่กวาดล้านคะแนนคนแรกไปครองแบบทิ้งห่าง “คนละครึ่ง” 1,016,019 คะแนน จากนั้น 29 ส.ค. 2547 พรรคไทยรักไทยไม่ได้ส่งใครลงสมัครผู้ว่าฯกทม.ในนามพรรค แต่ในทางการเมืองก็แอบสนับสนุน “เจ๊ปิ๊ก” ปวีณา หงส์สกุล ที่ลงในนามอิสระ ตอนนั้นได้คะแนนจากคนกรุงเทพฯไป 619,039 คะแนน แต่ก็แพ้ให้กับ “หล่อกลาง” อภิรักษ์ โกษะโยธิน จากพรรคประธิปัตย์ที่ถูกคนเมืองหลวงเทคะแนนให้สูงถึง 911,441 คะแนนได้เป็นผู้ว่าฯกทม.สมัยแรก ต่อมา 5 ต.ค. 2551 พรรคไทยรักไทยถูกยุบ ทักษิณสั่งตั้งพรรคพลังประชาชนคราวนี้ส่ง ประภัสร์ จงสงวน อดีตผู้ว่ารฟท.ลงเลือกตั้งได้คะแนนไป 543,488 คะแนนแต่ก็ยังแพ้ให้กับอภิรักษ์จากพรรคประธิปัตย์อีกครั้งที่คว้าไป 991,0178 คะแนน ต่อมา 11 ม.ค.2552 มีการเลือกตั้งอีกครั้ง ในยุคพรรคพลังประชาชน รอบนี้ทักษิณส่ง “พี่แซม” ยุรนันท์ ภมรมนตรี พระเอกขวัญใจคนไทยลงชิงชัย ตอนนั้นกวาดคะแนนไป611,669 คะแนน แต่ก็ไม่พอที่จะชนะ “คุณชายหมู” ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัทธ์ จากพรรคประชาธิปัตย์ที่กวาดเสียงไป 934,602 คะแนนขึ้นเป็นผู้ว่าฯกทม.สมัยแรก จากนั้น 3 มี.ค.2556 มาถึงยุคพรรคเพื่อไทยสมัยยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีการทาบทามนายตำรวจคนดังอย่าง พล.ต.อ.พงศพัต พงษ์เจริญ รองผบ.ตร.และโฆษกตร.ในยุคนั้น ลงแข่งกับคุณชายหมูสมัยสอง ผลปรากฏว่าพล.ต.อ.พงศพัศได้คะแนนจากคนกรุงทะลุล้านสูงถึง 1,077,899 คะแนน แต่เหมือนบุญมีแต่กรรมบัง เพราะฝ่ายม.ร.ว.สุขุมพันธ์ก็ได้คะแนนถล่มทลายไปเช่นกันถึง 1,256,349 คะแนน ป้องกันแชมป์ผู้ว่าฯกทม.เอาไว้ได้อีกสมัย นับตั้งแต่ 23 ก.ค. 2543 จวบจนถึงทุกวันนี้ กว่า 2 ทศวรรษ พรรคฝ่ายทักษิณคอกตระกูลชินเคยส่งผู้สมัครลงชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯกทม.มาแล้ว 5 คนแต่ตกม้าตายไม่เคยถึงฝั่งฝันแม้แต่ครั้งเดียว
จึงไม่แปลกที่การนำลิ่วในทุกโพลล์ของชัชชาติทำให้ทักษิณ พรรคเพื่อไทย และเครือข่ายบริวารหัวใจพองโต เพราะหากชัชชาติชนะการเลือกตั้งได้เป็นผู้ว่าฯกทม.จะเป็นครั้งแรกในรอบ 22 ปี ที่พรรคทักษิณคอกตระกูลชินได้เหยียบศาลาว่าการกรุงเทพมหานครได้บริหารเสาชิงช้า ประเด็นนี้จึงทำให้คนรักบ้านเมืองคนห่วงแหนสถาบันคนไทยหัวใจรักชาติจำนวนมากไม่สบายใจหากชัชชาติชนะการเลือกตั้ง 22 พ.ค.2565 เที่ยวนี้ ทักษิณจะตีเมืองหลวงแตกครั้งแรก และคงใช้โอกาสนี้ต่อยอดขยายเพดานไปถึงเป้าหมายการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ในการเลือกตั้งทั่วไปรอบหน้าแน่นอน เพราะฉะนั้นจึงมีแนวคิดในการเสนอการเลือกผู้ว่าฯกทม.แบบยุทธศาสตร์หรือโหวตยุทธศาสตร์ โดยมีเป้าหมาย “หยุดชัชชาติ -ต้านทักษิณ” โดยขอให้คนกรุงที่มีสิทธิ์ออกเสียงเทคะแนนเลือกผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.ที่มีโอกาสลุ้นเบียดกับชัชชาติมากที่สุด ประเด็นของเรื่องนี้ก็อยู่ตรงนี้แหละบังเอิญว่าคราวนี้ฝ่ายตัวแทนรัฐบาลดันมีตัวเลือก 3 คน แถมเป็น 3 คนที่มีฐานคะแนนเสียงมีผู้สนับสนุนมีคนรักใคร่ชอบพอใกล้เคียงกันอีก ประกอบด้วย 1. “จั้ม” สกลธี ภัททิยกุล อดีตรองผู้ว่าฯกทม.หมายเลข 3 ที่มี “ลุงกำนัน” สุเทพ เทือกสุบรรณ และบรรดาแกนนำกปปส.สนับสนุน รวมถึงคนดังอีกหลายวงการ 2. “ดร.เอ้”สุชัชชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อดีตอธิการบดี ม.ลาดกระบัง ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ก็มีฐานแฟนคลับพรรคสีฟ้า ฐานนักเรียนนักศึกษาหนุนหลังอยู่ และ 3. “บิ๊กวิน” พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง อดีตผู้ว่าฯกทม.คนล่าสุด หมายเลข 6 ที่ลงในนามอิสระ แต่ก็มีรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐเอาใจช่วยอยู่
ด้วยเหตุที่ฝ่ายรัฐบาลมีตัวเลือกถึง 3 คน แถมทั้ง 3 คนก็มีกองเชียร์มีผู้สนับสนุนมีแบ็กของตัวเองอยู่ เพราะฉะนั้นแนวคิดในการเลือกผู้ว่าฯแบบโหวตยุทธศาสตร์จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ทั้ง 3 คนจะยอมเทคะแนนหลีกทางให้ฝ่ายใด เพราะต่างฝ่ายต่างก็มั่นใจในศักยภาพในฐานเสียงของตัวเองแทบทั้งสิ้น สกลธีมีกำนันสุเทพ มีแกนนำกปปส. มีดารา นักร้อง อินฟลูเอ็นเซอร์ต่างๆหนุนหลัง สุชัชชวีร์มีแม่ยกมีหัวคะแนนพรรคประชาธิปัตย์ แต่คนที่ดูจะมาแรงและถูกจับตามองว่าน่าจะเป็น “ตัวเลือก” ในการโหวตยุทธศาสตร์ของคนรักชาติรักแผ่นดินฝ่ายรัฐบาลจริงๆ น้ำหนักตอนนี้เทมาทางพล.ต.อ.อัศวิน เหนือล้ำกว่าคนอื่นในซีกเดียวกันประมาณครึ่งช่วงตัว โดยเฉพาะเมื่อมีคนดังหลายคนออกมาประกาศจุดยืนขอคนกรุงเทใจเลือกหมายเลข 6 กากบาทเลือกพล.ต.อ.อัศวินเป็นผู้ว่าฯอีกสมัย เพราะดูจะเป็นคนที่มี “แต้มต่อทางการเมือง” พอลุ้นเบียดกับชัชชาติได้มากสุด เนื่องจากมีฐานส.ก.ในพื้นที่ซึ่งประคมประหงมดูแล 50 เขตในกรุงเทพมานานกว่า 5 ปี คอยเป็นมือไม้ให้ หนำซ้ำตอนช่วงโควิด-19 บิ๊กวินก็หาเสียงทำคะแนนกับชาวบ้านไว้เยอะ ชนิดเช้าถึงเย็นถึง รอบนี้จึงหวังเอาฐานคนชั้นล่างสู้กับฝ่ายทักษิณ ยิ่งถ้า “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สั่งพรรคพลังประชารัฐเทคะแนนมาช่วยอย่างเต็มที่ งานนี้มีลุ้น “พลิกล็อค” แซงโค้งเบียดชัชชาติได้เหมือนกัน
ยกตัวอย่าง 3 คนดังที่ออกโรงขอคนกรุงเทพเลือกพล.ต.อ.อัศวินเป็น “ม้าตีนปลาย” ล้มชัชชาติต้านโทนี่ ประกอบด้วย นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดีที่ออกมาร่ายยาวเหตุผลเรื่องนี้ความว่า “การเลือกตั้งผู้ว่ากทม. มีระบอบทักษิณจำแลงแฝงเข้ามา จนกระแสประชาชนจับได้ ก็เลยพยายามมาถูไถว่า ระบอบทักษิณ จะทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดี แต่ความจริงอย่างที่กล่าว คำว่าระบอบทักษิณมันหมายถึงพวกโกงที่ไม่สำนึก ต่อให้มาคุยว่าระบอบทักษิณดี ก็หลอกประชาชนไม่ได้ พี่น้องที่รักชาติทั้งหลาย ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะรักใครชอบใคร พวกเราก็แข่งขันกัน แบบแฟร์ๆมานับเดือนแล้วครับ และเพื่อสู้กับระบอบทักษิณจำแลง ถึงเวลาที่พวกเราต้องตัดสินใจ เหลือเพียงหนึ่งเดียว ไม่มีเวลามาบอกว่าใครดีกว่าใครแล้วครับในวันนี้ เราต้องตัดสินใจเลือกคนที่มีโอกาส ชนะระบอบทักษิณจำแลงมากที่สุด นั่นคือดูจากผลโพล ที่เชื่อถือได้ที่สุดคือนิด้าโพล ใครมีคะแนนที่สูงสุดและจะชนะ ก็ควรเทให้พวกเราคนนั้น ดูผลโพลล่าสุดแล้ว พวกเราควรเลือกคุณอัศวินเบอร์ 6 ครับ” หมอวรงค์อธิบายเหตุผล
ด้านผศ.ดร. อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ที่ต่อสู้กับระบอบทักษิณมาทุกเวทีก็ให้ความเห็นเรื่องนี้ชัดเจนว่าทำไมต้องเลือกพล.ต.อ.อัศวิน “ Strategic vote ผมไม่ได้ฟังเสียงใคร ผมฟังผลโพลล์ เพียงอันเดียวคือนิด้าโพลล์ ซึ่งใช้การสุ่มตัวอย่างที่มีมาตรฐานคือ random digit dial สร้าง master sample แล้วสุ่มอย่างง่ายจาก master sample อีกครั้งแล้วโทรเข้าโทรศัพท์มือถือ สำรวจข้อมูล โพลล์อื่นผมไม่คิดว่ามี sampling plan ที่ดีเท่านี้ และผลนิด้าโพลล์นั้นมีเบอร์หก คือคุณอัศวิน ที่ได้คะแนนเป็นลำดับสอง ส่วนคนอื่น โอกาสลุ้น strategic vote ยากมาก ที่ผมตัดสินใจอย่างนี้เพราะผมเชื่อถือข้อมูล ไม่ได้เลือกเพราะใครมีอิทธิพลกับผม” อาจารย์อานนท์ระบุ ก่อนปล่อยประโยคเด็ดชี้ทางสว่างให้คนกรุงเห็นภาพกันชัดๆ ” เลือกเบอร์ 6 จะได้เบอร์ 6 แต่ถ้าเลือกเบอร์ 3 หรือ 4 หรือ 7 จะได้เบอร์ 8″
ขณะที่หมอระวี มาศฉมาดล หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ น้ำผู้แทนน้ำดีในสภาก็ระบุคนที่เหมาะสมหากคนกรุงเทพที่ยังไม่ตัดสินใจจะเลือกด้วยวิธียุทธศาตร์แล้วทำให้ทุกอย่าง “ไม่เสียของ” ก็ต้องเลือกหมายเลข 6 พล.ต.อ.อัศวิน เพื่อหยุดระบอบทักษิณเบรกไม่ให้โทนี่สมปรารถนา เพราะตอนนี้แผนกินรวบประเทศ 6 คำของนายใหญ่คนแดนไกลอุบัติขึ้นแล้ว “ ชัยชนะของคุณชัชชาติ คือ การเริ่มต้นแลนด์สไลด์ที่ กทม.เป็นการแลนด์สไลด์ตามยุทธการกินทีละคำของทักษิณ เริ่มจากคำแรก คือการหลอกล่อให้พรรคใหญ่ตกหลุมในการแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ กินคำที่สองก็คือ ชนะแลนด์สไลด์ในกรรมาธิการแก้กฎหมายลูกให้คิด ส.ส.บัญชีรายชื่อโดยการหารด้วย 100 และยกเลิกระบบ ส.ส.พึงมี และระบบทุกคะแนนเสียงไม่ตกน้ำ คำที่สาม ก็คือการแลนด์สไลด์ในการเลือกผู้ว่าฯ กทม. คำที่สี่ ที่กำลังล็อบบี้ ส.ส.ในสภาให้ทำการคว่ำนายกฯสภาให้ได้ เพราะถ้าสามารถทำได้ การเลือกตั้งครั้งหน้าจะไม่มีหัวหน้าพรรคการเมืองใดมาแข่งกับอุ้งอิ้งได้ คำที่ห้า คือการชนะเลือกตั้งทั่วไปแบบแลนด์สไลด์ ได้ ส.ส. 253 คน และพรรคเพื่อไทยเข้าเป็นรัฐบาล ปูทางสู่การกินคำที่หก ซึ่งเป็นคำสุดท้าย ซึ่งก็คือการออก พรบ.นิรโทษกรรมให้ทักษิณกลับบ้านมาอย่างหล่อ ๆ …..ร่วมกันโหวตทางยุทธศาสตร์ ร่วมกันเลือกคนเดียวที่จะไปชนะคุณชัชชาติได้ หยุดเลือกคนที่เราชอบ หยุดเลือกคนที่เราเคยเชียร์หยุดเลือกคนที่เราคิดว่าใช่ หันไปร่วมกันโหวตให้ผู้ว่าฯอัศวิน เบอร์ 6 คนที่มีโอกาสมากที่สุดที่จะคว่ำนายชัชชาติได้” หมอระวีเหลาความจริงให้คนไทยฟังละเอียดยิบ แฉแผนชั่ว 6 คำกินรวบประเทศไทย เลือกผิดชีวิตเปลี่ยนชาติกลับไปฉิบหายที่ทำมาสูญเปล่าหมด
22 พ.ค.2565 แปดโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น ลุ้นคนเมืองหลวงเทคนที่รัก ทิ้งคนที่ชอบ เลือก “คนที่ใช่” ในการเลือกตั้งครั้งสำคัญคราวนี้ กรุงเทพเมืองหลวงเหมือนด่านหน้าอย่าให้คนชั่วช้าเอาไปครอง คิดให้ไกลๆมองให้ยาวๆ บ้านเมืองกำลังพัฒนา ประเทศกำลังเปิด อย่าทำให้การฟื้นบ้านแปลงเมืองต้องสะดุด เลือกคนที่ทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้ ไม่เป็นมือเป็นไม้ฝ่ายคนชั่ว ไม่เข้ามาต่อยอดวางฐานให้คนโกง ไม่เอาบ้านเมืองกลับไปอยู่ในวังวนวงจรอุบาทว์ “ล้มเจ้า-พังชาติ” อีกเลย ด้วยความเคารพ
////////////////////
