วันที่ 23 มิ.ย. -ที่รัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้เข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาเรื่องด่วนร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่…) พ.ศ…. รวม 13 ฉบับ โดยมีนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม ซึ่งในช่วงแรกผู้เสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่ละร่างได้กล่าวนำเสนอร่างของตนเอง เริ่มต้นจากนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะผู้ยื่นญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคพลังประชารัฐ กล่าวชี้แจงหลักการและเหตุผลร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญพรรคพลังประชารัฐว่า พรรคพลังประชารัฐตั้งใจแก้รัฐธรรมนูญให้สำเร็จ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่าพรรคพลังประชารัฐและส.ว.ขัดขวางแก้รัฐธรรมนูญไม่จริง หากประเด็นใดแก้ไขเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ไม่สร้างความขัดแย้ง หรือเป็นภาระงบประมาณแผ่นดินทำประชามติ ก็จะช่วยสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญให้ลุล่วงได้ เป็นการแสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง
โดยร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พรรคพลังประชารัฐเสนอมี 5 ประเด็น 13 มาตรา ได้แก่ 1.การแก้ไขมาตรา 29 มาตรา41 และมาตรา45 เพื่อเพิ่มการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพแก่ประชาชน อาทิ สิทธิการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม การประกันตัว การให้ประชาชนได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมายจากรัฐในการฟ้องหน่วยงานรัฐ 2.การแก้ไขระบบเลือกตั้ง ให้กลับไปใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบเหมือนรัฐธรรมนูญปี 2540 ได้แก่ส.ส.เขต 400คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100คน พรรคใดที่ส่งส.ส.เขตไม่น้อยกว่า 100คน ให้มีสิทธิส่งผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อได้ พรรคใดจะได้ส.ส.บัญชีรายชื่อ ต้องได้คะแนนบัญชีรายชื่อไม่ต่ำกว่า 1% ป้องกันปัญหาการเป็นส.ส.ปัดเศษ
นายไพบูลย์ กล่าวต่อว่า 3.การแก้ไขมาตรา 144 ให้ตัดบทลงโทษส.ส -ส.ว.และกมธ.ที่แทรกแซงการแปรญัตติงบประมาณไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม แต่เมื่อมีส.ว.ทักท้วงว่า การแก้ไขดังกล่าวทำให้หลักการตรวจสอบงบประมาณที่รัฐธรรมนูญปี 2560 เขียนไว้อย่างเข้มข้นสูญเสียไป ตนก็เห็นด้วยและรับปากว่า หากรับหลักการแก้ไขวาระ 1 แล้ว การพิจารณาในชั้นกมธ. ตนและพรรคพลังประชารัฐจะเสนอแก้ไขมาตรา 144 ให้คงหลักการเข้มข้นรัฐธรรมนูญปี 2560ไว้ตามเดิม ให้สบายใจได้ แต่ขอหารือว่าควรพิจารณาถึงเจ้าหน้าที่สำนักงบประมาณที่ได้รับผลกระทบจากมาตรานี้จะหาวิธีผ่อนคลายอย่างไร เพราะเจ้าหน้าที่สำนักงบประมาณไม่กล้ามาเป็นกมธ.งบฯ เพราะกลัวเข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงตามาตรา 144
4.การแก้ไขมาตรา 185 เรื่องการยกเลิกการห้ามส.ส.-ส.ว.เข้าไปแทรกแซง ก้าวก่ายการทำงานของข้าราชการ ที่ส.ว.เป็นห่วงเช่นกันว่า จะทำลายหลักการการก้าวก่ายแทรกแซงการทำงานของข้าราชการนั้นก็รับปากว่า หากรับหลักการวาระ 1 จะไปผลักดันชั้นกมธ. ให้คงหลักการป้องกันการก้าวก่ายแทรกแซงการทำงานข้าราชการไว้ตามเดิม แต่ขอเพิ่มเติมให้มีความชัดเจนขึ้น โดยยกเว้นกรณีส.ส.-ส.ว.ไปติดต่อหน่วยงานรัฐ เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อน ไม่ให้ถือเป็นการก้าวก่ายแทรกแซงการทำงานหน่วยราชการ และ5.ให้ยกเลิกมาตรา 270 ขอเปลี่ยนแปลงอำนาจวุฒิสภาในการเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ มาเป็นให้อำนาจส.ส.และส.ว.ร่วมกันติดตาม เสนอแนะเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ เรื่องนี้ ส.ว.เป็นผู้เสนอเอง อยากให้ส.ส.มาร่วมติดตามการปฏิรูปประเทศ