ปรากฎการณ์พรรคเล็กนัดทานข้าวกัน ณ ร้านอาหารเชฟแมน ถ.ราชดำริ 27 เม.ย.2565 ที่ผ่านมา เที่ยวนี้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะดันอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่กำลังมีการพิจารณากฎหมายลูก 2 ฉบับ ซึ่งกำลังจ่อเข้าสู่ประเด็นหัวใจที่เป็นประเด็นหลักในการแก้ไขกฎหมายลูกรอบนี้ นั้นก็คือการเคาะว่าตกลงจะใช้วิธีคิดคำนวณส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อแบบไหน จะหาร 500 จากจำนวนส.ส.ทั้งหมดในสภา หรือหาร 100 จากจำนวนส.ส.ระบบปาร์ตี้ลิสต์จริงเพื่อให้ตรงกับเจนตารมย์และไม่เกินหลักการที่เคยเสนอร่างแก้ไขไว้ก่อนหน้านี้ ที่ตอนนี้พรรคเล็กกับพรรคใหญ่กำลังชิงจังหวะต่อสู้ในเรื่องนี้กันอย่างดุเดือด เพื่อรักษาผลประโยชน์และความได้เปรียบของพรรคตัวเอง
ขณะเดียวกันก็กำลังเข้าสู่โหมดนับถอยหลังเปิดสภา 22 พ.ค.ศกนี้ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่พรรคเพื่อไทยกำลังดูฤกษ์หาเวลายื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามรัฐธรรมนูญ ม. 151 ที่งานนี้พรรคร่วมฝ่ายค้านหมายมั่นปั่นมือว่าจะใช้โอกาสรอบนี้ล้ม “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ล้มกลางสภาคาเก้าอี้นายกฯให้ได้ ล่าสุดตั้ง 6 ประเด็นสำคัญยื่นซักฟอก ในจำนวนนั้นบอกมีทีเด็ดเรื่องค้ามนุษย์กับการซื้ออาวุธของกองทัพ ที่งานนี้โม้ว่าจะเป็น “หมัดพิฆาต” ล้มบิ๊กตู่ให้ตกจากเรือแป๊ะ แถมหัวหน้าพรรคเพื่อไทยอย่าง หมอชลน่าน ศรีแก้ว ยังออกมารับลูกกระแสข่าวต่อสายพรรคเล็กผสมกับพรรคอื่นๆ ราว 30 คน ให้มาสนับสนุนญัตติพรรคฝ่ายค้านเพื่อล้มรัฐบาล
มีแต่ประเด็นร้อนแรงแบบนี้ บรรยากาศกินข้าวพรรคเล็กรอบล่าสุดจึงคึกคักมากเป็นพิเศษ เพราะมากันครบ ไลตั้งแต่ พิเชษฐ สถิรชวาล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ที่มาแสดงตัวในฐานะหัวหน้ากลุ่ม16 คฑาเทพ เตชะเดชเรืองกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อชาติไทย , พีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทรักธรรม , ดำรงค์ พิเดช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย , ศุภดิช อากาศฤกษ์ ,มนูญ สิวาภิรมย์รัตน์ , ภาสกร เงินเจริญกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ มารศรี ขจรเรืองโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเศรษฐกิจใหม่ , จารึก ศรีอ่อน ส.ส.จันทบุรี ,น.ส.กวินนาถ ตาคีย์ ส.ส.ชลบุรี , นพดล แก้วสุพัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังท้องถิ่นไท , สมัคร ป้องวงษ์ ส.ส.สมุทรสาคร พรรคชาติพัฒนา , ปรีดา บุญเพลิง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคครูไทยเพื่อประชาชน , บุญญาพร นาตะธนภัทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังชาติไทย รวมถึงแขกรับเชิญอย่าง “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ในฐานะผอ.พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบประสานงานกับพรรคเล็ก
หลักใหญ่ใจความวงสนทนารอบนี้ก็พูดถึงการทำงานร่วมกันในอนาคต ที่ฝั่งสุชาติก็มาขอให้พรรคเล็กช่วยหนุนลุงตู่อยู่ข้างรัฐบาลไปยาวๆ เพราะจากนี้ยังมีด่านสำคัญที่รัฐบาลต้องฝ่าฝันอีกมาก ไล่ตั้งแต่ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 กฎหมายลูก 2 ฉบับ อภิปรายไม่ไว้วางใจ ฯลฯ ทั้งหลายทั้งมวลล้วนต้องใช้เสียงและมือของพรรคเล็ก โดยเฉพาะในช่วงรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำคะแนนเกินกึ่งหนึ่งไปไม่มาก แถมก๊วนพรรคเศรษฐกิจไทยที่แตกออกไปจากพรรคพลังประชารัฐก็ “ลูกผีลูกคน” ไอ้ที่หวังว่าจะให้มาช่วยยกมือฝากผีฝากไข้คงยาก เอาแค่อยู่เฉยๆไม่แทงข้างหลังบิ๊กตู่ก็ดีจะตายอยู่แล้ว
อีกเรื่องที่คุยกันหนักหารือกันยาว คือ อนาคตพรรคเล็กจะเอาไงต่อ หลังเจอ “กับดักบัตร 2 ใบ” ที่การเลือกตั้งรอบหน้าเกือบแน่นอนแล้วว่า จะไม่มีตัวช่วยเรื่องวิธีการคิดคะแนนแบบจัดสรรปันส่วนผสม ไม่มีการวางเพดานส.ส.แบบพึงมี และคงไม่มีการคิดคะแนนตกน้ำมาช่วยพรรคเล็ก เหมือนการเลือกตั้ง 24 มี.ค.2562 งานนี้ก็เลยทำให้หลายพรรคคิดหนักว่าจะเอาไงต่อดี ซึ่งมันก็มีแค่ 2 ทางคือ 1 ไปต่อ หรือ 2 พอแค่นี้ ที่ตอนนี้หลายคนเริ่มลังเล เพราะถ้าบัตร 2 ใบใช้กติกาแบบปี 40 พรรคใหญ่ได้เปรียบพรรคเล็กตายหมู่ แต่ถ้าใช้เงื่อนไขแบบการเลือกตั้งคราวที่แล้ว พรรคเล็กยังพอมีโอกาสลืมตาอ้าปากบ้าง เพราะงั้นตอนนี้พรรคเล็กเลยต้องลุ้น
” ประเด็นหลักที่พรรคเล็กหารือกันวันนี้ คือ สูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ตามร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ว่าจะใช้การคำนวณโดยใช้จำนวน 100 คน หรือ 500คน หาร เพื่อหาส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่ยังไม่มีความชัดเจน และไม่ทราบท่าทีพรรคพลังประชารัฐจะสนับสนุนแบบใด…..ในวงหารือพูดคุยว่า ถ้าหารด้วย 500 ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1คน จะใช้คะแนนเฉลี่ย120,000 คะแนน แต่หากใช้จำนวน 100 หาร ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คน ต้องใช้คะแนนเฉลี่ย 300,000 คะแนน ซึ่งพรรคเล็กอาจไม่สู้ ต้องหาทางออกด้วยการรวมตัวกัน แต่หากใช้ 500หาร พรรคเล็กยังพอสู้ได้” ดำรงค์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทยสะท้อนหัวอกพรรคหลักหน่วยรอลุ้นชะตากรรมจากการแก้กฎหมายลูก ด้วยเหตุนี้หลายพรรคเล็กเลยคิดเรื่องหนีตายด้วยการรวมพรรคกันแบบรวมการเฉพาะกิจ ที่ตัดสินใจยุบรวมกันไปแล้ว 4 พรรคก็คือ พรรคไทรักธรรม พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย พรรคประชาธรรมไทย ที่ยุบไปรวมกับพรรคเพื่อชาติไทย งานนี้คฑาเทพโวว่าจะมีส.ส. 23 คนมาอยู่กับพรรค และเลือกตั้งคราวหน้าจะกวาดส.ส.ขั้นต่ำ 37 คน สูงสุดอาจถึง 57 คน
จากเดิมที่บิ๊กตู่ เคยมีส.ส.ในมือสูงลิ่วถึง 267 คน แต่หลังเกิดกรณีเกาเหลาหักเหลี่ยมกับร.อ.ธรรมนัสจนแยกตัวออกไปตั้งพรรคเศรษฐกิจไทย ส่งผลให้เสียงของรัฐบาลที่เคยเข้มแข็งหายไปมากโข แม้ 3 เสียงในนั้นจะไปสังกัดพรรคภูมิใจไทยที่สนับสนุนรัฐบาลเหมือนกัน แต่อีก 18 เสียงสายผู้กองแป้งเดาทางไม่ออก บิ๊กป้อมบอกหนุนแต่การกระทำดูสวนทางเห็นต่าง จุดนี้เลยทำให้เสียงของรัฐบาล ณ ปัจจุบันคงเหลือแค่ 249 คน ไม่นับรวมบรรดางูเห่าที่ฝากเลี้ยงไว้กับพรรคฝ่ายค้าน ขณะที่เสียงของส.ส.พรรคฝ่ายค้านปัจจุบันมี 208 คน สภาผู้แทนไทยปัจจุบันมีส.ส.คงอยู่ 476 คน เกินกึ่งหนึ่งของส.ส.ที่ต้องใช้ในการผ่านกฎหมายสำคัญๆ ต้องมีจำนวน 238 คน ถ้ายึดจำนวนในมือล่าสุด 249 คน นายกฯมีส.ส.ในมือเกินกึ่งหนึ่งไปแค่ 11 คนเท่านั้น ขณะที่หากส.ส.ก๊วนผู้กองแป้ง 18 คนโยกไปอยู่กับพรรคเพื่อไทยทั้งหมดก็จะทำให้พรรคฝ่ายค้านมีส.ส.รวมกันทั้งสิ้น 226 คน ขาดแนวร่วมอีกแค่ 12 คนเท่านั้นก็จะล้มก็จะคว่ำพล.อ.ประยุทธ์ในสภาได้ ด้วยเหตุนี้มือของพรรคเล็กจึงโคตรสำคัญยิ่ง
พ.ค.-มิ.ย. เป็น 2 เดือนหัวเลี้ยวหัวต่ออีกช่วงทางการเมือง จับตาอนาคตพรรคเล็ก ตัวแปรทางการเมืองที่จะชี้ชะตาพล.อ.ประยุทธ์ว่าจะได้ไปต่อหรือไม่ ท่ามกลางกระแสข่าวฝ่ายตรงข้ามอย่างคนแดนไกลก็เปิดก๊อกอัดฉีดเงินผ่านท่อน้ำเลี้ยง ข่าวว่าจัดมาก้อนใหญ่หลักหลายร้อยล้าน หวังเป้าหมายส.ส. 30 คน ยกมือเห็นด้วยกับฝ่ายค้านไม่ไว้วางใจนายกฯ เที่ยวนี้หวังปิดเกมส์ปิดสวิตซ์ “ระบอบประยุทธ์” ปิดอำนาจ 3 ป.บูรพาพยัคฆ์ ที่คุมประเทศไทยมายาวนานเกือบ 8 ปี เที่ยวนี้นายใหญ่คนแดนไกลถึงกับจัดหนักจัดเต็ม สั่งเกณฑ์องคาพยพทั้งหมดหวังล้มพล.อ.ประยุทธ์ให้ได้ ปีก่อน ฉายหนังฟอร์มใหญ่เรื่อง “แจกกล้วยคว่ำผู้นำ” ภาคแรก ระหว่างวันที่ 31 ส.ค.ถึง 4 ก.ย.มาแล้วแต่ไม่สำเร็จ รอบนี้หวังสร้างภาคสองตั้งใจเลื่อยขาเก้าอี้พล.อ.ประยุทธ์ให้จงได้ จับตาการเมืองร้อนแรงกำลังกลับมาอีกครั้ง
///////////////////////
