หลังจากถูกโรคเลื่อนเพราะพิษโควิดมานาน ล่าสุดแกนนำรัฐบาลอย่างพรรคพลังประชารัฐก็ได้ฤกษ์จัดการประชุมใหญ่ประจำปี ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ที่จัดการประชุมในช่วงโควิดยังแพร่ระบาด แต่พรรคพลังประชารัฐก็ยืนกรานได้เตรียมตัวเตรียมพร้อมมาอย่างดี โดยประสานกับศบค.และสาธารณสุขจังหวัด ขอใช้พื้นที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จ.ขอนแก่น จัดการประชุมใหญ่ในวันศุกร์ที่ 18 มิถุนายนนี้
เบื้องต้นกำหนดวาระรับทราบการดำเนินกิจการของพรรคในรอบปีที่ผ่านมา รวมถึงรับรองงบประมาณของพรรคตามระเบียบพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 ที่ระบุให้ทุกพรรคการเมืองต้องจัดประชุมใหญ่ทุกเดือนเมษายน เพื่อรายงาน 2 เรื่องสำคัญให้คณะกรรมการเลือกตั้งในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองรับทราบ อย่างไรก็ตามเบื้องลึกจัดการประชุมใหญ่ในคราวนี้ถูกจับตามองไปที่ความเป็นไปได้ในการล้างไพ่กรรมการบริหารพรรคใหม่ ภายหลังจากที่ 2 แกนนำกรรมการบริหารพรรคคนสำคัญอย่าง นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ และ นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ถูกอุบัติเหตุทางการเมืองจนพ้นตำแหน่ง ส่งผลให้กรรมการบริหารพรรคจากเดิม 27 คนคงเหลือแค่ 25 คน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดแรงกระเพื่อมในพรรค ของกลุ่มก้อนการเมืองต่างๆ ที่ต้องการช่วงชิงอำนาจระหว่างกัน จนเกิดกระแสข่าวบาดหมางแตกแยกกันอย่างหนักระหว่าง 2 ขั้วอำนาจ
ด้านหนึ่งคือกลุ่มสามมิตร ” 4 ว.” ที่ประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสำคัญ 4 คน นำโดย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม นายอนุชา นาคาศัย รมต.ประจำสำนักนายกฯ และ นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน กับ กลุ่มธรรมนัส “4 ช.” ที่ประกอบด้วยรัฐมนตรีช่วยว่าการ 4 คน นำโดย ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงาน และ นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม ที่คอการเมืองวิเคราะห์ว่าประชุมพรรคที่ขอนแก่นรอบนี้มีแววแตกหักกันสูง ร้อนถึงพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐต้องออกมาลดอุณหภูมิดับความร้อนในพรรค พร้อมยืนกรานไม่มีวาระล้างไพ่กรรมการบริหารพรรคในรอบนี้
“ หัวหน้าพรรคจะไปเกี่ยวอะไร การประชุมครั้งนี้ก็เกี่ยวกับเรื่องการเงินที่จะต้องรายงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพราะเราเลื่อนมาตลอด จนไม่รู้จะทำอะไรแล้ว และทาง กกต.ก็เร่งมา” พล.อ.ประวิตรระบุ
แม้พล.อ.ประวิตรยืนกระต่ายขาเดียวไม่มีการล้างไพ่ตั้งกรรมการบริหารพรรค โดยเฉพาะการเปลี่ยนตัวเลขาธิการพรรคคนใหม่จาก “เสี่ยแฮ้งค์” นายอนุชา ไปเป็น “ผู้กองธรรมนัส” ที่ ณ เวลานี้ เรียกว่าบารมีเบ่งบาน มาแรงสุดสุด ด้วยเหตุที่เป็นคนใจถึงพึ่งได้ กว้างขวาง มากบารมี มีคอนเนกชั่น ครบทุกวงการ ทั้งสีกากี สีเขียว นักธุรกิจ นักการเมือง แม้กระทั่งอปท.ระดับท้องถิ่น ร.อ.ธรรมนัสก็มีเครือข่ายครอบคลุมหมด หนำซ้ำยังเหมาะสมกับสถานการณ์ หากจะมีการเลือกตั้งยุบสภาในเวลาอันใกล้นี้ ร.อ.ธรรมนัสก็เหมาะที่จะก้าวขึ้นมาเป็นเลขาธิการพรรคคุมเลือกตั้งดูภาพรวมทั้งประเทศ อย่างไรก็ตามยังไม่แน่เสียทีเดียวว่าการประชุมในวันศุกร์นี้ พล.อ.ประวิตรจะตัดสินใจหักดิบชูร.อ.ธรรมนัสขึ้นเป็นเลขาธิการพรรคทันทีเลยหรือไม่ ทั้งนี้เพราะหลังลมเปลี่ยนทิศพล.อ.ประยุทธ์ประกาศยิ่งไล่ยิ่งสู้ขออยู่ยาวครบ 4 ปี ไม่คิดลงจากหลังเสือยุบสภาในตอนนี้ เมื่อเกมส์เปลี่ยนทางการเมืองเปลี่ยนทิศ โอกาสที่อนุชาจะยังอยู่ในตำแหน่งเดิมนั่งเป็นเลขาธิการพรรคเพื่อรักษาภาพความสามัคคีในพลังประชารัฐต่อไปอีกระยะก็มีความเป็นไปได้สูง
อย่างไรก็ตามล่าสุดก่อนหน้าการประชุมใหญ่พรุ่งนี้ ช่วงเช้าที่ผ่านมาเกิดกระแสข่าวลืออนุชาชิงไขก๊อกลาออกเปิดทางให้ร.อ.ธรรมนัส แต่จากนั้นไม่นานอนุชาก็ออกมารดน้ำดับไฟข่าวลือ ” ณ เวลานี้ยังไม่มีการลาออก ส่วนกระแสข่าวเรื่องการลาออกนี้มีมาหลายวันแล้ว ถือเป็นเรื่องปกติที่มีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพรรค แต่คงต้องแล้วแต่สมาชิกพรรค กรรมการบริหารพรรค และหัวหน้าพรรคที่จะตัดสินใจอย่างไรในเรื่องนี้ เพราะไม่มีใครชี้นำได้ ทั้งนี้วาระการประชุมในวันพรุ่งนี้ ไม่มีวาระการปรับเปลี่ยนโครงสร้างกรรรมการบริหารพรรค ยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณอะไรมาจากหัวหน้าพรรค แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับที่ประชุมพรรค ผมยังเดินหน้าทำงานให้พรรคต่อไป เพื่อให้พรรคพลังประชารัฐเป็นสถาบันทางการเมืองที่เข้มแข็ง” อนุชากล่าว
ด้านร.อ.ธรรมนัส ก็ออกมาเปิดใจเช่นกันพร้อมแบะท่าอ้าขาเป็นแม่บ้านพลังประชารัฐ หากสมาชิกยกมือเลือก ” เรื่องนี้ไม่ทราบทั้งหมดก็ต้องแล้วแต่สมาชิกพรรค ขึ้นอยู่กับว่าเมื่อมีการเสนอชื่อมาแล้วสมาชิกพรรคเลือกหรือไม่ ถ้าพี่น้องสมาชิกพรรคพลังประชารัฐให้ความไว้วางใจ ผมก็จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด” ร.อ.ธรรมนัสกล่าว
สุดท้ายปลายทางต้องจับตาดูการประชุมใหญ่วันพรุ่งนี้ ว่าถึงที่สุดแล้วพล.อ.ประวิตรจะเลือกหนทางอย่างไร ให้อนุชานั่งเป็นเลขาธิการพรรคต่อไปเพื่อรักษาเอกภาพในพรรคไม่ให้เกิดคลื่นใต้น้ำเกิดแรงกระเพื่อมภายในพลังประชารัฐที่อาจส่งผลสะเทือนถึงเสถียรภาพของรัฐบาล ก่อนรอเวลาและจังหวะที่เหมาะสมใกล้เลือกตั้งค่อยดันร.อ.ธรรมนัสขึ้นเป็นเลขาธิการพรรคคนใหม่ก็ยังไม่สาย หรือจะชิงหักดิบตั้งน้องรักขึ้นเป็นแม่บ้านพลังประชารัฐประกาศกร้าวถ้าชนทุกพรรคตั้งแต่ไก่โห่ เปิดตัวขุนพลตั้งแต่เนิ่นๆ โดยที่ยังไม่รู้ว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แถมยังเสี่ยงตกเป็นเป้าโจมตีของฝ่ายตรงข้ามตั้งแต่หัววัน ท้ายสุดต้องจับตาดูว่าการประชุมใหญ่พรรคพรุ่งนี้ หัวหน้าใหญ่ประวิตรจะเลือกเดินทางใดระหว่างดันธรรมนัสหรือบอกให้น้องรักนั่งคอย
////////////////////////