ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า เริ่มเห็นปัญหา ผู้ได้รับวัคซีน “ซิโนแวค” 2 เข็ม แล้วภูมิคุ้มกันขึ้นน้อยถึงน้อยมาก ต้องเริ่มระมัดระวัง
เนื่องจากผู้ที่ได้รับวัคซีนซิโนแวค ครบ 2 เข็มไปแล้ว 3 ถึง 4 สัปดาห์พบว่ามีหลายรายที่ การตรวจพบแอนติบอดีไม่มี หรือที่สูงเพียง 20-30% ซึ่งความสามารถในการยับยั้งไวรัสได้ต้องมากกว่า 20% จึงจะถือว่ามีภูมิคุ้มกัน ทั้งนี้อาจจัดแบ่งออกได้ เป็น 3 ลักษณะ 1. คนที่ได้รับวัคซีนตามปกติจะมีการตอบสนองที่สูง กลาง และต่ำ เป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ต้องขึ้น ซึ่งวัคซีนซิโนแวค ฉีดสองเข็มห่างกันหนึ่งเดือน จึงทำการประเมินที่ 3 หรือ 4สัปดาห์หลังจากเข็มที่สอง แต่ทั้งนี้ ควรจะต้องมีภูมิขึ้นในระดับน่าพอใจในทุกคน
2. ในบางกลุ่มที่ได้รับวัคซีนในวันเดียวกัน รับการฉีดที่เดียวกัน ปรากฏว่า ไม่มีภูมิขึ้นเลย น้อยกว่า 20% อาจเป็นไปได้ว่าวัคซีนในชุดเดียวกันนั้น อาจจะมีปัญหา
3. มีภาวะประจำตัวที่สำคัญ เช่น สูงอายุ และมีเบาหวาน ที่ภูมิไม่ขึ้น จากการเก็บข้อมูลของสถาบันแห่งหนี่ง
4. เริ่มมีการรายงานผู้ป่วยโควิด-19 ทั้งที่ฉีดซิโนแวค ครบ 2 เข็ม และ แอสตราเซเนกา 1 เข็มแล้วโดยบางรายที่ติดมีการตรวจวัดภูมิคุ้มกันหลังฉีดแล้วว่าขึ้น แต่ไม่สูงมาก
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ บอกอีกว่า ดังนั้นในกรณีที่ภูมิไม่ขึ้นหรือขึ้นน้อยกว่า 68% ซึ่งเป็นตัวเลขในทางทฤษฎีที่มีความสัมพันธ์กับการป้องกันการติด อาจจะต้องพิจารณาถึงการได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อเก่าหรือยี่ห้อใหม่ก็ตาม นอกจากนั้นในกรณีของการเกิดอาการแพ้หรือมีผลข้างเคียง ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนอะไรก็ตาม ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าทำให้ภูมิคุ้มกันยิ่งสูงขึ้น เพราะเป็นการอักเสบผ่านทางคนละระบบ ซึ่งทางการสิงคโปร์ยินยอมให้ผู้ที่มีประวัติแพ้ยาหรือแพ้อาหารอย่างรุนแรงฉีด mRNA ได้ แต่ปรากฏว่า ด้วยสาเหตุอะไรอธิบายไม่ได้ คนสิงคโปร์มีปฏิกิริยาแพ้ค่อนข้างรุนแรงต่อวัคซีน ดังนั้น ให้เป็นข้อปฏิบัติว่าถ้ามีอาการแพ้ดังกล่าวให้ไปฉีดวัคซีนอื่น เช่น ซิโนแวค