เส้นทางการเมืองของ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) กับ “โทนี่ วู้ดซั่ม” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯปัจจุบันนักโทษหนีคดี แทบจะแงะกันไม่ออกเพราะเล่นการเมืองในเวลาไล่เลี่ยใกล้เคียงกัน อยู่พรรคเดียวกัน เติบโตมาด้วยกัน สุดารัตน์ย่างเท้าเข้าการเมืองในปีพ.ศ. 2535 ด้วยการเป็น ส.ส.เขต 12 กทม. บางเขน หลักสี่ ดอนเมือง ครั้งแรกในนามพรรคพลังธรรมยุค “มหาจำลอง” พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นหัวหน้าพรรค ขณะที่ทักษิณไขก๊อกเดินออกจากแวดวงธุรกิจทิ้งเก้าอี้ประธาน บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น ตามคำชักชวนของมหาจำลองเช่นกัน โดยมารับตำแหน่ง “บัวแก้ว” รมว.กระทรวงการต่างประเทศ ช่วงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2537 ในสมัยที่ชวน หลีกภัย เป็นนายกฯ ก่อนจะรับตำแหน่งรองนายกฯในสมัย “เสี่ยเติ้ง” บรรหาร ศิลปอาชา และเป็นรองนายกฯอีกครั้ง ในสมัยรัฐบาล “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ
พ.ศ. 2538 ทักษิณก้าวรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังธรรมแทนพล.ต.จำลอง โดยมีสุดารัตน์รับบทเป็นเลขาธิการพรรค ถัดจากนั้นเมื่อสั่งสมบารมี กำลังคน จนได้เวลาพร้อม 14 กรกฎาคม พ.ศ.2541 ทักษิณก็ประกาศตั้งพรรคการเมืองของตัวเองภายใต้ชื่อ “พรรคไทยรักไทย” โดย 1 ใน 119 คนที่เป็นกรรมการบริหารพรรคชุดแรกมีชื่อสุดารัตน์ร่วมหัวจมท้ายอยู่ด้วย และสุดารัตน์ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย เป็นเจ้าแม่กทม. เป็นคนที่อยู่เคียงข้างทักษิณ เป็นขุนพลคนสำคัญที่ทำให้ทักษิณพาพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งถล่มทลาย 248 คนทั่วประเทศได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ได้เป็นนายกฯคนที่ 23 ของไทย และอยู่จนครบวาระในสมัยแรก ตั้งแต่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 – 11 มีนาคม พ.ศ. 2548 จากนั้นก็พาพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลายจนเป็นที่มาของคำว่า “แลนด์สไลด์” ชนะทั้งแผ่นดินเพราะเป็นพรรคการเมืองเดียวที่สามารถกวาดส.ส.ทั่วประเทศได้มากถึง 377 คน ตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้โดยไม่ง้อใคร โดยสมัยสองทักษิณเป็นนายกฯ ใรช่วง 11 มีนาคม พ.ศ. 2548 – 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ก่อนถูก “บิ๊กบัง” พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.นำกำลังปฏิวัติรัฐประหาร เมื่อ 19 กันยายน พ.ศ. 2549
อย่างไรก็ตามในช่วงที่ทักษิณเรืองอำนาจเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม หรือแม้แต่ก้าวขึ้นเป็นนายกฯ 2 สมัยยุคพรรคไทยรักไทย ทุกช่วงเวลาสุดารัตน์ก็ได้รับการโปรโมตให้เป็นแกนนำรัฐบาล นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงดีๆ และอัพเกรดเป็นเสนาบดีกระทรวงเกรดเอ มาตลอด ไล่ตั้งแต่ รมช.คมนาคม , รมช.มหาดไทย , รมว.สาธารณสุข และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ จะเห็นได้ว่าสุดารัตน์อยู่ร่วมหัวจมท้ายมาตลอดกับทักษิณ แม้กระทั่งพ้นจากอำนาจถูกบิ๊กบังปฏิวัติก็หลุดวงโคจรไปพร้อมกัน หลังพรรคไทยรักไทยถูกยุบพรรคในปี 2550 และเจ๊หน่อยกับกรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปี หลังจากพ้นบ่วงกรรมออกมาเจ๊หน่อยก็ทำงานการเมืองของตัวเองมาเรื่อย ก่อนมาลืมตาอ้าปากอีกครั้งเมื่อทักษิณฟอร์มทีมเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยใหม่หวังล้มพล.อ.ประยุทธ์ไม่ให้เป็นนายกฯสมัยสอง ในการเลือกตั้ง 245 มีนาคม 2562 มีการวางตัวสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค ให้สุดารัตน์คุมเลือกตั้งในฐานะประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้ง แต่จู่ๆวันดีคืนดีทักษิณก็คิดยุทธ์ศาสตร์ใหม่แตกแบงค์พันเป็นแบงค์ร้อย ผุดพรรคไทยรักษาชาติดึงฟ้าสูงลงมาต่ำ แต่แนวคิดนี้ก็แป้กไปเสียก่อนเพราะถูกราชโองการรวมถึงถูกศาลรัฐธรรมนูญติดสินยุบพรรคไปในที่สุด เรื่องดังกล่าวพลอยทำให้ฝ่ายทักษิณมีมลทิน แม้ชนะการเลือกตั้งได้ส.ส.มากสุดแต่ไม่สามารถรวมเสียงเป็นแกนนำได้ ถึงสุดารัตน์จะมีชื่อปรากฎเป็น 3 แคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทย เคียงข้างชัชชาติ สิทธิพันธุ์ และ ชัยเกษม นิติสิริ 2 แกนนำพรรคเพื่อไทย แต่ก็ไปไม่ถึงฝั่งฝันเพราะแพ้โหวตพล.อ.ประยุทธ์ในสภา
หลังอกหักพลาดหวังเก้าอี้นายกฯ มีกระแสข่าวว่าสุดารัตน์อาจหวลกลับมาลงสมัครผู้ว่าฯกทม. ลุ้นเก้าอี้ผู้บริหารกรุงเทพฯอีกครั้ง ในจังหวะที่มีข่าวว่าพล.อ.ประยุทธ์อาจปลดล็อคให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.หลังพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ทำงานครบ 4 ปี แต่สุดท้ายการเลือกตั้งผูู้ว่าฯก็ไม่เกิดขึ้นเร็วอย่างที่หลายคนคิด ขณะที่ในพรรคเพื่อไทยเองก็มีกระแสต้านสุดารัตน์อย่างรุนแรง สุดท้ายปลายทางก็ถึงจุดแตกหักได้เวลาพอกันทีระหว่างสุดารัตน์กับทักษิณ หลัง 30 พฤศจิกายน 2563 สุดารัตน์ยื่นหนังสือลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทยแบบตลอดชีพ รวมถึงทุกตำแหน่งในพรรคเพื่อไทย ท่ามกลางกระแสข่าวฟางเส้นสุดท้ายใน 3 เรื่อง คือ 1.น้อยใจเรื่องถูกพรรคเบรกเรื่องการจัดการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. 2. เครือข่ายส.ส.ของก๊วนตัวเองถูกลดบทบาทในพรรค 3. การสั่งห้ามเจ๊หน่อยลงหาเสียงช่วยพรรคในการเลือกตั้งท้องถิ่น การไขก๊อกออกจากคอกชินวัตรรอบนั้นของสุดารัตน์ ยังพา “เสี่ยไก่” วัฒนา เมืองสุข อดีตรมว.พาณิชย์ โภคิน พลกุล อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร และ พงศกร อรรณนพพร รมช. ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยตามไปเป็นพรวน อาทิ ต่อพงษ์ ไชยสาส์น อดีตรมช.สาธารณสุข น.ต.ศิธา ธิวารี อดีตโฆษกรัฐบาลทักษิณ ฯลฯ
มีการวิเคราะห์เหตุผลลึกที่เจ๊หน่อยลาออกจากร่มเงาทักษิณหลายเรื่องหลายกรณี 1.ช่วงหลังทนไม่ไหวที่ถูกหลอกซ้ำซากให้ความหวังไปเรื่อย ครั้งแรกบอกว่าพรรคเพื่อไทยจะสนับสนุนให้เป็นแคนดิเดตนายกฯเพียวๆคนเดียว แต่ตอนหลังก็ไปดึงชัชชาติกับชัยเกษมมาเป็นคู่เทียบ แถมยังให้ลูกน้องไปตั้งพรรคใหม่ไทยรักษาชาติเสนอชื่อสตรีสูงศักดิ์ แบบนี้ก็เหมือนปาหี่หลอกเจ๊หน่อยเป็นนายกฯ 2. ให้ความหวังว่าจะหนุนเป็นผู้ว่าฯกทม. สุดท้ายก็เปลี่ยนใจแถมไม่ให้สิทธิ์เป็นคนบริหารจัดการเลือกตั้งผู้ว่าฯกรุงเทพฯของพรรค และ 3. ถูก 3 สตรีมากบารมีในพรรครวมพลังต่อต้านบีบให้พ้นออกจากพรรค คนแรกคือ “คุณหญิงอ้อ” พจมาน ดามาพงศ์ ณ ป้อมเพ็ชร นายหญิงเจ้าของคอกตัวจริงที่มีข่าวซุบซิบมาตลอดว่างัดข้อหักเหลี่ยมกับเจ๊หน่อยเสมอ 2. “เจ๊แดง” เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ อดีตเจ้าแม่วังบัวบานที่หลายปีมานี้บารมีลดไปเยอะ แถมหนีความผิดคดีจำนำข้าวไปหลบในต่างประเทศก็ไม่ชอบเจ๊หน่อยที่มีบทบาทมากในพรรคเพื่อไทยช่วงหลัง 3. “เจ๊ปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหญิงประวัติศาสตร์คนแรก ที่หนีคดีอยู่ดูไบ ก็ไม่พอใจสุดารัตน์เช่นกัน
เจอแบบนี้ไปต่อให้เป็นสตรีเหล็กแข็งกว่าหินขนาดไหนก็ไปต่อกันลำบาก วันนี้จึงประกาศแตกหักชัดกับทักษิณ ระดับสุดารัตน์เป็นคนมากบารมี การเมืองก็เรียกว่าเขี้ยวลากดินตัวแม่ เงินทองทรัพย์สินก็มากมายมหาศาล บริวารขุมข่ายก็มีมากล้นไม่แพ้ทักษิณ จะมัวมาให้นั่งเป็นน้ำใต้ศอกตัวสำรองอดทนตลอดกาล หัวเด็ดตีนขาด สุดารัตน์ ตัวแม๊ๆ คงไม่ยอม ที่สุดจึงบังเกิดพรรคไทยสร้างไทย มุ้งใหม่เรือนตายสุดท้ายของเจ๊หน่อย สุดารัตน์เคยยอมให้ทักษิณส่งน้องสาวเป็นนายกฯติดหน้ามารอบนึงแล้ว รอบนี้โทนี่จะส่งลูกสาวคนเล็กอย่าง “อุ๊งอิ๊ง” แพรทองธาร ชินวัตร มาตัดหน้าเป็นนายกฯอีก เจ๊ไม่ยอม เป็นนั่งร้านให้คนในตระกูลชินวัตรขึ้นเป็นนายกฯมา 3 รอบแล้ว รอบที่ 4 นี้ หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรเจ๊ขอขึ้นเอง
//////////////////////
