เสร็จสิ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับการพิจารณากฎหมายลูกสำคัญ 2 ฉบับ คือ 1. ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และ 2.ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ที่จำเป็นสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปซึ่งจะมีขึ้นในอนาคต หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการแก้ไขกฎหมายแม่ คือ รัฐธรรมนูญ ปลดล็อคบัตรเลือกตั้งจากบัตรใบเดียวเป็นบัตร 2 ใบ แก้ไขส.ส.ระบบเขตเลือกตั้งจาก 350 เขตเป็น 400 เขต ลดส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อจาก 150 คนเหลือ 100 คน ล่าสุดที่ประชุมร่วมรัฐสภาที่มีส.ส.กับส.ว.ก็ลงมติรับหลักการวาระแรกของกฎหมายลูกทั้งสองฉบับไปแล้ว ก่อนที่วันนี้ (1 มี.ค.65) ที่ประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณากฎหมายลูกทั้ง 2 ฉบับหารือกันนัดแรกก่อนลงมติตั้ง “เสี่ยตี๋” สาธิต ปิตุเตซะ รมช.สาธารณสุข ตัวแทนฝ่ายรัฐบาลนั่งเป็นประธานคณะกมธ.วิสามัญฯ โดยเบียดตัวเก็งเต็งหามอย่าง ไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ไปแบบฉิวเฉียด จากนี้คณะกมธ.ทั้ง 49 คนก็ต้องไปพิจารณาข้อเสนอที่ตัวแทนแต่ละฝ่ายได้สงวนคำแปรญัตติไว้ก่อนที่จะนำข้อมูลทั้งหมดมาพิจารณาร่วมกัน โดยในส่วนของกฎหมายลูกการเลือกตั้งส.ส. มี 4 ฉบับ ขณะที่กฎหมายลูกว่าด้วยพรรคการเมืองมี 3 ฉบับ
สำหรับประเด็นสำคัญที่จะต้องถกเถียงกันก็มีอยู่หลายเรื่อง อาทิ การกำหนดบัตรเลือกตั้งของส.ส.ระบบเขต กับ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ จะให้เป็นเบอร์เดียวกันไหมหรือให้เป็นคนละเบอร์ ที่ฝ่ายค้านอยากกำหนดให้เป็นเบอร์เดียวกันเพื่อให้ประชาชนจำได้ง่ายไม่หลงไม่ผิด ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลอยากให้แยกเบอร์กัน เพราะหวังฟลุ๊คคนหลงลืมเบอร์ แถมยังเกรงว่าอาจกลายเป็นการขัดรัฐธรรมนูญหากใช้เบอร์เดียวกับส.ส.ระบบเขต ประเด็นต่อมาคือเรื่องของการทำไพมารี่โหวตที่ในรัฐธรรมนูญระบุว่าการคัดเลือกว่าที่ผู้สมัครส.ส.ของแต่ละพรรคจะต้องมีการพิจารณาจากตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด ต้องผ่านสาขาพรรค ก่อนส่งมาให้คณะกรรมการคัดเลือกของแต่ละพรรคเป็นคนพิจารณา ตรงนี้เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนในแต่ละพื้นที่ได้มีโอกาสเลือกว่าที่ผู้สมัครส.ส.ของตัวเอง ไม่ใช่ให้พรรคเคาะเลือกคนลงสมัครส.ส.โดยที่ชาวบ้านในพื้นที่ไม่รู้หรือไม่มีส่วนร่วมในการเลือกผู้แทนของตัวเองเลย
แต่ประเด็นสำคัญที่เป็นไฮไลต์ของการแก้ไขกฎหมายลูกในคราวนี้คือการคิดคะแนนส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ที่น่าจะเป็นจุดแตกหักเถียงกันหนักระหว่างพรรคการเมืองขนาดใหญ่กับพรรคการเมืองขนาดเล็ก ที่ชัดเจนว่าพรรคการเมืองขนาดใหญ่อยากให้ใช้วิธีการคิดคะแนนแบบปี 40 โดยนําคะแนนรวมทั้งประเทศที่พรรคการเมืองทุกพรรคที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อมารวมกัน จากนั้นก็หารด้วยจำนวนของส.ส.บัญชีรายชื่อทั้งหมดคือ 100 ได้เท่าไหร่จะเป็นคำตอบของจำนวนคะแนนที่ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 คนจะได้รับ ยกตัวอย่างคะแนนส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อของทุกพรรคได้รวมกัน 32,500,00 คะแนน นำมาหารด้วย 100 จะได้ 325,000 คะแนน เพราะฉะนั้นแต่ละพรรคจะได้ส.ส.บัญชีรายชื่อก็ต่อเมื่อได้ 325,000 คะแนน
ขณะที่ฝ่ายพรรคเล็กอยากให้คิดคะแนนส.ส.บัญชีรายชื่อแบบจัดสรรปันส่วนผสมเหมือนการเลือกตั้งเมื่อ 24 มี.ค. 2562 โดยให้คิดคะแนนดังนี้
(1) นําคะแนนรวมทั้งประเทศที่พรรคการเมืองทุกพรรคที่ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อได้รับจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต หารด้วย 500 ซึ่งเป็นจํานวนสมาชิกทั้งหมดของส.ส. จากนั้นให้
(2) นําผลลัพธ์ตาม (1) ไปหารจํานวนคะแนนรวมทั้งประเทศของพรรคการเมืองแต่ละพรรคที่ได้รับจากการเลือกตั้งส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งทุกเขต จํานวนที่ได้รับให้ถือเป็นจํานวนส.ส.ที่พรรคการเมืองนั้นจะพึงมีได้
(3 ) นําจํานวนส.ส.ที่พรรคการเมืองจะพึงมีได้ตาม (2) ลบด้วยจํานวนส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งทั้งหมดที่พรรคการเมืองนั้นได้รับเลือกตั้งในทุกเขตเลือกตั้ง ผลลัพธ์คือจํานวนส.ส.แบบบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองนั้นจะได้รับ
(4) ถ้าพรรคการเมืองใดมีผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งเท่ากับหรือสูงกว่าจํานวนส.ส.ที่พรรคการเมืองนั้นจะพึงมีได้ตาม (2 ) ให้พรรคการเมืองนั้น มีส.ส.ตามจํานวนที่ได้รับจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง และไม่มีสิทธิได้รับ การจัดสรรส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และให้นําจํานวนส.ส.แบบบัญชีรายชื่อทั้งหมดไปจัดสรรให้แก่พรรคการเมืองที่มีจํานวนส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งต่ำากว่าจํานวนส.ส. ที่พรรคการเมืองนั้นจะพึงมีได้ตาม (2 ) ตามอัตราส่วน แต่ต้องไม่มีผลให้พรรคการเมืองใดดังกล่าวมีส.ส.เกินจํานวนที่จะพึงมีได้ตาม (2)
ด้วยเหตุที่การคิดคะแนนบัญชีรายชื่อแบบจัดสรรปันส่วนผสมเหมือนการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว มีการกำหนดเพดานส.ส.พึงมีที่แต่ละพรรคควรจะได้รับ วิธีการดังกล่าวจึงทำให้พรรคเพื่อไทย และ พรรคการเมืองขนาดใหญ่อย่าง พรรคพลังประชารัฐหรือพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้ส.ส.เขตจำนวนมากเมื่อนำส.ส.พึงมีมาหักลบพลอยทำให้ได้ส.ส.บัญชีรายชื่อน้อยไปด้วย ยกตัวอย่างพรรคพลังประชารัฐหรือพรรคประชาธิปัตย์ และโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยที่ได้ส.ส.เขต 136 คน ก็ทะลุเพดานส.ส.พึงมีของพรรคตัวเอง จุดจึงทำให้ไม่ได้ส.ส.บัญชีรายชื่อเลยแม้แต่คนเดียว ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้พรรคการเมืองขนาดใหญ่ ทั้ง พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ และโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยเห็นว่าการคิดส.ส.บัญชีรายชื่อแบบจัดสรรปันส่วนผสม กำหนดให้มีเพดานส.ส.พึงมี จึงเป็นวิธีการที่พรรคตัวเองเสียเปรียบ ต้องแบ่งเค้กไปให้พรรคเล็กพรรคน้อย
ด้วยเหตุนี้ทั้ง 3 พรรค จึงจับมือกันแก้ไขรัฐธรรมนูญเปลี่ยนบัตรเลือกตั้งจากใบเดียวเป็น 2 ใบ และให้คิดคะแนนส.ส.บัญชีรายชื่อใหม่ไม่เอาแบบเก่าไม่เอาส.ส.แบบจัดสรรปันส่วนผสมมาใช้ในการเลือกตั้งเที่ยวนี้ แต่ขอกลับไปคิดแบบเดิมเหมือนปี 40 ขณะที่พรรคเล็กพรรคน้อยพรรคปลาซิวปลาสร้อยหัวเด็ดตีนขาดก็อยากให้ชัดการคิดสูตรเดิมแบบเลือกตั้งปี 62 อยากน้อยก็ได้ลืมตาอ้าปากมีพรรคใหม่ได้เข้าไปสภาบ้าง ล่าสุดพรรคเล็กถึงขนาดไปร้องผู้ตรวจการแผ่นดินเรื่องบัตร 2 ใบ ว่าขัดเจตนารมย์รัฐธรรมนูญ เพราะทิ้งคะแนนตกน้ำไปแบบไม่เอามาคิด ต่างฝ่ายต่างก็ยึดผลประโยชน์ของตัวเอง ทั้งหลายทั้งมวลคือปมร้อนแก้กฎหมายลูกซึ่งไม่รู้ว่าที่สุดแล้วพรรคใหญ่กับพรรคเล็กจะหาทางออกกันได้หรือไม่อย่างไร ก่อนที่จะนำเข้าสู่การพิจารณาวาระ 2-3 หลังเปิดสมัยประชุมหน้าซึ่งจะเปิดในวันที่ 22 พ.ค.นี้
////////////////////////