หลังผ่านช่วงเวลายาวนาน 2 เดือนแรกของปีพ.ศ. 2565 ดูเหมือนสถานการณ์ตกต่ำขาลงของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ค่อยๆคลี่คลายลงตามลำดับ นับตั้งแต่เจอมรสุมมากมายสารพัดลูกถาโถมเข้าใส่ ไล่ตั้งแต่เรื่องปากท้องของชาวบ้าน ทั้งหมูแพง น้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ปัญหาเงินเฟ้อ ส่งผลให้ค่าครองชีพพุ่ง ขณะที่สถานะของรัฐบาลผสมก็ไม่ได้เข้มแข็งเหนียวแน่นเหมือนเก่า เพราะมีปัญหาประเดประดังเข้ามาหลายเรื่อง ทั้งความขัดแย้งของพรรคร่วมรัฐบาลกันเอง อาทิ พรรคพลังประชารัฐกับพรรคประชาธิปัตย์ในเรื่องของการเลือกตั้งซ่อมในพื้นที่ภาคใต้ ทั้งที่ เขต 1 จ.ชุมพร และ เขต 6 จ.สงขลา กรณีความเห็นไม่ลงรอยกันในเรื่องการแก้ไขปัญหารถไฟฟ้าสายสีเขียวระหว่างพล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กับ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม และพรรคภูมิใจไทย ถึงขนาดนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยต้องนำ 7 รัฐมนตรีของพรรคลาประชุมครม. เพราะไม่สะดวกใจที่จะประชุมเรื่องนี้
รวมถึงปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐเองที่เกิดสนิมแต่เนื้อในตน โดยเฉพาะกลุ่มก๊วน “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตเลขาธิการพรรคที่ทำตัวเป็นหอกข้างแคร่ปั่นนายกฯป่วนรัฐบาลมาโดยตลอด ถึงขนาดตั้งเป้าหวังล้มนายกฯคาศึกซักฟอกในสภา ที่สุดก็เกิดเป็นปัญหาคาราคาซังตามมาอีกหลายเรื่อง ก่อนจะถึงจุดแตกหักจนพรรคพลังประชารัฐต้องมีมติขับร.อ.ธรรมนัสกับพรรคพวกรวม 21 คนออกไป จากปมปัญหาขัดแย้งพรรคร่วมปัญหาภายในพรรคตัวเองดังกล่าว จึงนำไปสู่ความง่อนแง่นของการทำหน้าที่ในสภาที่สุดก็สะท้อนออกมาเป็นปัญหาสภาล่ม นับเฉพาะรัฐบาลประยุทธ์ 2 เกิดสภาล่มไปแล้ว 17 ครั้ง เฉพาะ 2 เดือนแรกของปีนี้สภาล่มไปแล้วถึง 5 ครั้ง ยังไม่นับรวมเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัว บ้านเมืองเข้าสู่ยุคข้าวยากหมากแพง อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากวิกฤติโควิด-19 จากสารพัดปัญหาที่ว่าส่งผลให้เอกชนขาดความเชื่อมั่นในตัวรัฐบาล ขณะที่ประชาชนก็เริ่มเอือมระอากับปัญหาการเมืองแตกแยก แบ่งขั้วแบ่งข้างคิดอ่านแต่เรื่องผลประโยชน์ ที่สุดจึงเริ่มมีกระแสที่เห็นว่านายกฯน่าจะไปต่อไม่ไหวรัฐบาลน่าจะไปไหนไม่ได้แล้ว พร้อมๆกับกระแสเรียกร้องให้ยุบสภาจัดการเลือกตั้งใหม่
อย่างไรก็ตามพล.อ.ประยุทธ์นาทีนี้ก็ไม่ใช่นายกฯมือใหม่หรือละอ่อนทางการเมืองที่ยอมตกเป็นลูกไล่ให้กับบรรดานักการเมือง การเป็นนายกฯมาแล้ว 2 สมัยบริหารประเทศมาแล้ว 7 ปีเศษ ก็ทำให้ช่ำชองการเมืองเขี้ยวรากดินอยู่ไม่ใช่น้อย จู่ๆจะมาไล่ทุบไล่เตะตัดขาให้ลงจากเก้าอี้สร.1 กันง่ายๆ คงเป็นไปไม่ได้ จะเห็นว่าช่วงเกิดปัญหารุมเร้าหนักๆหลายเรื่องพล.อ.ประยุทธ์พยายามเก็บทรง พูดน้อย ไม่โต้ไม่เถียงกับสื่อ ค่อยๆแกะค่อยสางปมไปทีละปัญหาจนทำให้สถานการณ์ทุกอย่างปัญหาทุกเรื่องค่อยๆคลี่คลายและเริ่มเห็นทางออกไปในทิศทางที่ดีขึ้น ในส่วนของปมร้าวกับพรรคร่วมรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ก็พยายามหาทางออกร่วมกับนายอนุทิน โดยใช้หลัก “แสวงจุดร่วม-สงวนจุดต่าง” ที่ต่างฝ่ายต่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน งานนี้นายอนุทินถึงขนาดประกาศไม่คิดทิ้งนายกฯและจะสนับสนุนรัฐบาลให้อยู่ต่อไปจนครบวาระ ขณะซีกฝ่ายร.อ.ธรรมนัสที่ถูกขับออกไป 21 คน แต่ 3 คนขอฉีกไปซบตักพรรคภูมิใจไทย ส่วนร.อ.ธรรมนัสกับพวกที่เหลือขอไปตายดาบหน้ากับพรรคเศรษฐกิจไทย แม้ช่วงต้นจะออกลูกงอแงให้นายกฯหวั่นใจว่าจะไปทางไหนหนุนหรือค้าน แต่ล่าสุด “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะผู้จัดการรัฐบาล ยืนกรานก๊วนผู้กองยังชูประยุทธ์หนุนรัฐบาลต่อไป
ล่าสุดก็แสดงให้เห็นหลังรับหลักการวาระแรกแก้ไขพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. 4 ฉบับผ่านฉลุยเรียบร้อยโรงเรียนป้อมไปแล้ว ส่วนกฎหมายลูกพรรรคการเมืองก็คงไฟเขียวเช่นกัน หมดห่วงไปอีกเปราะค่อยไปเปิดศึกกันใหม่ตอนแปรญัตติวาระ 2 และ 3 ว่าจะเอากันยังไง 28 ก.พ.เตรียมนับถอยหลังปิดสภา เปิดใหม่สมัยหน้าก็ราว 25-26 พ.ค. พอมีเวลาให้พล.อ.ประยุทธ์พักหายใจหายคอปรับกระบวนทัพรัฐบาลกันใหม่เพื่อเตรียมสู้อีกหลายศึกในอนาคต อย่างน้อยมีเวลาอีก 2 เดือนให้นายกฯคิดอ่านทำการใหญ่ต่อไปในอนาคต ด้านหนึ่งก็ต้องรอดูว่าการจัดประชุมใหญ่พรรคพลังประชารัฐปลายเดือนมี.ค.นี้ พล.อ.ประยุทธ์จะเข้าไปล้วงลูกล้างไพ่ จัดทัพปรับกรรมการบริหารพรรคใหม่มากน้อยหรือไม่อย่างไร เพราะหากหวังจะอยู่ต่อไปยาวๆ จนเป็นเจ้าภาพจัดประชุมเอเปคปลายเดือนพ.ย.สิ้นปีนี้ นายกฯก็ต้องวางเสาหลักให้มั่นคงทำพรรคพลังประชารัฐที่เป็นฐานที่มั่นรัฐบาลให้แข็งแกร่งเสียก่อน อย่างน้อยก็ต้องมีคนของตัวเองที่วางใจได้ผงาดขึ้นมาเป็นแกนหลักของพรรคพลังประชารัฐ
ขณะเดียวกันก็ต้องเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้รัฐบาลกลับมาเป็นเรือเหล็กที่สวยสง่ามั่นคง ไม่ใช่เป็นเรือผุสนิมขึ้นเหมือนที่ผ่านมา ไม่แปลกที่มีการคาดหมายว่าช่วงพักเบรกสภา 2 เดือนนี้ พล.อ.ประยุทธ์อาจตัดสินใจปรับครม.อีกครั้งเพื่อซื้อใจพรรคเศรษฐกิจไทยของร.อ.ธรรมนัส แม้จะเป็นพรรคเล็ก 18 เสียง แต่อย่าลืมว่ามีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อรัฐนาวาเรือแป๊ะ 267 เสียงของรัฐบาล ขาดไป 18 เสียงของผู้กอง รัฐบาลก็จะเหลือแค่ 249 เสียง กลับไปเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำทันที ต่อให้เกลียดต่อให้ชังกันยังไงสุดท้ายปลายทางก็ต้องจูบปากกัน หากพล.อ.ประยุทธ์หวังจะอยู่ต่อไปอีกยาวๆถึงสิ้นปีหรือปีหน้า อย่าลืมว่ามือในสภายังสำคัญ กฎหมายลูก 2 ฉบับก็ยังต้องทำให้ผ่านไม่งั้นเลือกตั้งไม่ได้ อภิปรายทั่วไปแบบลงมติก็รออยู่ในช่วงพ.ค. ไหนจะต้องพิจารณาพ.ร.บ.งบประมาณ 2566 ฯลฯ พล.อ.ประยุทธ์คงไม่อยากเสี่ยงลองของกับก๊วนร.อ.ธรรมนัสที่เป็นไม้เบื้อไม้เมากันมาตลอด ปรับครม.ให้เก้าอี้รัฐมนตรีไปสัก 2 ตัวก็คงจะพอทำให้คุยกันได้อยู่กันไปอีกนาน พรรคเศรษฐกิจไทยเตรียมประชุมใหญ่กลางมี.ค.นี้ ล่าสุด “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ก็ดอดสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเรียบร้อยแล้ว รอเวลาแต่งตัวเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ในการประชุมใหญ่พรรคกลางเดือนมี.ค.นี้ ตามสูตรพล.อ.วิชญ์ขึ้นเป็นหัวหน้า ร.อ.ธรรมนัสเป็นเลขาฯ เสร็จจากนั้นนายกฯค่อยปรับครม.อีกสักไม้ให้ใจกับพรรคเศรษฐกิจไทย ตั้งพล.อ.วิชญ์ ร.อ.ธรรมนัสหรือมวยแทนก็ตามแต่เป็นรัฐมนตรีร่วมครม. เชื่อว่าบรรยากาศและสถานการณ์ของพล.อ.ประยุทธ์และรัฐบาลก็น่าจะดีขึ้นตามลำดับ ถ้าพล.อ.ประยุทธ์อยากอยู่ยาวเพื่อนฝูงคนรอบข้างก็สำคัญ ต้องยอมลดลาวาศอกรู้จักถอยบ้าง เหมือนสุภาษิตไทยที่ว่าน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ในทางการเมืองไม่มีใครได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกครับพณฯท่านนายกฯ
///////////////////