เมื่อเวลา 17.00 น. ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ตนมีคำถามว่าทุกท่านเชื่อหรือว่างบ 3.1 ล้านล้านบาทจะนำพาประเทศ และประชาชนออกจากวิกฤตที่หนักหนานี้ได้จริง ๆ เราอาจต้องนับหนึ่งใหม่กับระบบการสาธารณสุขไทย ที่อนาคตอาจมีโรคใหม่ ๆ มาท้าทาย เราอาจต้องนับหนึ่งใหม่กับระบบทุนนิยมไทย ถ้าเรายังปล่อยประเทศไว้แบบนี้ สิ่งที่จะตามมาคือคนชั้นนำจะรวยขึ้น ชนชั้นล่างจะจนลง ยุคสมัยเปลี่ยนไปแล้ว เราต้องยอมรับความจริง ว่าเราไม่อาจใช้ชุดวิธีคิดแบบเดิม แล้วคาดหวังผลลัพธ์แบบใหม่ได้ อะไรที่ใช้ได้ในอดีตไม่ได้หมายความว่าจะใช้ได้ต่อไปในอนาคต ในยุคสมัยใหม่
นายพิธา กล่าวว่า ตนไม่คิดว่าการจัดทำงบประมาณจะซ้ำซากไร้จินตนาการ และไม่เชื่อว่างบครั้งนี้จะทำให้ประเทศของเราไปได้อีกต่อไป ตนอ่านรายละเอียดงบจบ บอกได้เลยว่าไม่มีความหวัง ไม่มีทางที่ประเทศไทยจะพ้นจากวิกฤต หากไม่มีการปรับเปลี่ยนการจัดทำงบประมาณ ประเทศไทยจะฟื้นหรือฟุบวัดกันที่งบประมาณฉบับนี้ หากพรรคก้าวไกลจัดทำงบจะเอาประชาชนเป็นที่หนึ่ง เริ่มจากคนที่เปราะบางที่สุดของสังคมไทย แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะงบที่เป็นสวัสดิการประชาชน ถูกตัด 3.5 หมื่นล้านบาท ส่วนภาคเศรษฐกิจที่เปราะบางที่สุดในประเทศ คือ ภาคเกษตรกรรม ที่คนยากจนต้องมาแบกรับความเสี่ยงจากดินฟ้าอากาศ ไม่ว่ายุคสมัยไหนพี่น้องเกษตรกรก็ไม่เคยได้รับการเหลียวแลอย่างจริงจัง
นายพิธา กล่าวว่า ส่วนปี 65 เป็นปีแห่งการฟื้นฟูประเทศจากโควิด – 19 สิ่งที่รัฐบาลต้องคิด คือวัคซีนเข็มที่ 3 ไม่ใช่แค่เข็ม 1 และ 2 รัฐบาลประมาทเลินเล่อมาหลายครั้ง การเข้าถึงระบบสาธารณสุขของไทยยังห่างไกลความเป็นจริง คำถามสำคัญคือประเทศไทยจะฟื้นฟูได้อย่างไร หากงบกระทรวงสาธารณสุขยังถูกปรับลด 4 พันล้านบาท งบบัตรทองถูกปรับลด 2 พันล้านบาท เราควรสร้างสวัสดิการประชาชนธรรมดากับข้าราชการ ไม่ให้แตกต่างกันมากแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสังคมสงเคราะห์ แต่เป็นเรื่องของสิทธิที่จะเข้าถึงการรักษาพยาบาล การศึกษา และการทำมาหากินอย่างเท่าเทียมกัน นับจากวันนี้เราจะปล่อยให้เรื่องของอนาคตเป็นเรื่องของคำพูดราคาถูกไม่ได้ ถึงเวลาที่เราต้องรดน้ำที่ราก เพื่อสร้างอนาคตใหม่ให้ประเทศไทย
หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวว่า ประเทศจะเปลี่ยนได้ทหารต้องอยู่ภายใต้รัฐบาลพลเรือน ไม่ใช่พลเรือนอยู่ภายใต้ทหาร งบกลาโหม งบกองทัพ งบอาวุธยุทโธปกรณ์ แบบสมัยสงครามเย็นต้องถูกยกเลิก กองทัพต้องเลิกจัดงบมาทำสงครามกับประชาชน เพื่อปราบปรามคนเห็นต่างทางการเมือง กองทัพต้องเลิกซื้ออาวุธที่ไม่จำเป็นในวันที่โรงพยาบาลขอรับบริจาคเครื่องช่วยหายใจ งบทหารต้องไม่เบียดเบียนสวัสดิการพลเรือน โดยเฉพาะยุคสมัยใหม่ประชาชนต้องการวัคซีนมากกว่ากระสุน แต่ที่ผ่านมากระทรวงกลาโหมมักอ้างว่างบจัดซื้ออาวุธ เป็นงบผูกพันกับต่างประเทศจึงตัดไม่ได้ ทั้งที่ไม่เป็นความจริง
“ผมอยากฝากไปยังพรรคร่วมรัฐบาล ว่าที่ทุกคนร่วมอภิปรายวิพากษ์วิจารณ์การตัดงบสาธารณสุข งบศึกษาธิการ สวัสดิการต่าง ๆ ถ้าท่านอยากได้งบคืนให้ประชาชนของท่าน ข้อเสนอระยะสั้นของผม คือ ส.ส.ต้องร่วมกันคว่ำร่างงบ 65 เพื่อจะได้ใช้งบ 64 ไปพลางก่อน หรือที่ท่านอภิปรายมา 2 วัน 3 คืน เป็นเพียงลิเกโรงใหญ่ ผมได้ยินแว่ว ๆ หลังจากอภิปรายวิพากษ์ความเหลวแหลกมา 3 วัน ก็ยังจะลงมติเห็นชอบ แสดงให้เห็นว่าเป็นลิเกโรงใหญ่ ท่านอภิปรายอย่างกับราชสีห์ แต่ลงคะแนนอย่างกับหนู ผมในฐานะหัวหน้าพรคก้าวไกลไม่อาจรับรองให้งบ 65 ฉบับนี้ผ่านไปได้” นายพิธา กล่าว