ถอดรหัส “ภูมิใจไทย” บอยคอตประชุมครม. รักษาผลประโยชน์ใคร ?

ประยุทธ์ถึงบางอ้อรู้ธาตุแท้แล้วใครเป็นใคร งงในงงก่อนหน้านี้ไม่เคยทักท้วงค่าโดยสาร 65 บาท อนุพงษ์มึนเข้า 7 ครั้งยังโดนตีกลับ ขนาดแจกแจงไปละเอียดทุกเม็ดแล้ว ยังถาม 4 ข้อกลับมาอีก เปิดจุดแตกหัก "ฟ้องสายสีส้ม-ขวางสายสีเขียว" หมูจะหามอย่าเอาคานเข้ามาสอด เรือแป๊ะไปต่อลำบาก ประยุทธ์อยู่ยากแล้ว นอกจากสนิมขึ้นจนผุแล้ว ลูกเรือยังเล่นเกมส์ขวางพายเรือทวนน้ำอีก หลัง "อนุทิน-ศักดิ์สยาม" นำ 7 รัฐมนตรีลาประชุมครม.อ้างไม่สะดวกใจพิจารณาต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว

ประชุมครม. 8 ก.พ.2565 กลายเป็นอีกหนึ่งวันทางการเมืองที่ต้องบันทึกไว้ หลัง 7 รัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยประกอบด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม นายวีระศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รมช.คมนาคม นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.มหาดไทย นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ รมช.เกษตรและสหกรณ์ และ นางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ ไม่เข้าร่วมการประชุมครม. ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล

โดยมีการยื่นใบลาประชุมครม.ต่อนายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส เลขาธิการครม.ตั้งแต่ช่วงค่ำของวันจันทร์ที่ 7 ก.พ. โดยมีเนื้อหาระบุเหตุผลว่าไม่สะดวกที่จะพิจารณา การประชุมครม.ในวันนี้ ในวาระเรื่องเพื่อพิจารณา ลําดับที่ 3 เรื่องขอความเห็นชอบผลการเจรจาและเห็นชอบร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับการดําเนินการของกรุงเทพมหานคร ขณะที่นายศักดิ์สยามได้สั่งหนังสือด่วนที่สุดให้ความเห็นเรื่องนี้ว่า ” ขอยืนยันตามความเห็นเดิมว่า ไม่เห็นด้วยกับการดำเนินการของกทม. เนื่องจากข้อมูลที่กทม. จัดทำเพิ่มเติมนั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในข้อเท็จจริงที่ทำให้การวิเคราะห์ของกระทรวงคมนาคมแตกต่างไปจากเดิม โดยเฉพาะในประเด็นของการคำนวณอัตราค่าโดยสาร การรองรับระบบตั๋วร่วม และความชัดเจนของประเด็นข้อกฎหมาย”

อย่างไรก็ตามแม้จะขาดรมต.ของพรรคภูมิใจไทยไป 7 คน แต่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ก็เป็นประธานการประชุมครม.ต่อจนเสร็จสิ้น โดยมีการเลื่อนวาระที่กระทรวงมหาดไทยเสนอเรื่องให้ครม.พิจารณาเห็นชอบร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวของกรุงเทพมหานคร เพื่อขยายสัญญาสัมปทานให้บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ในเครือบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ออกไปอีก 30 ปี จากเดิมที่จะสิ้นสุดในปี 2572 ไปเป็นสิ้นสุดปี 2602 แลกกับการเก็บค่าโดยสาร 65 บาทตลอดสาย ทั้งนี้มีการเลื่อนวาระร้อนเรื่องนี้จากที่เป็นพิจารณาเรื่องที่  3 ไปเป็นเรื่องสุดท้าย โดยพล.อ.ประยุทธ์และครม.ได้มีการหารือในเรื่องนี้กันอย่างกว้างขวางนานนับชั่วโมง

โดยมีรายงานข่าวออกมาว่า ระหว่างประชุมครม.นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาได้รายงานต่อที่ประชุมว่า ทางอัยการสูงสุด (อสส.) ได้พิจารณาร่างสัญญาเป็นไปตามกฎหมายครบถ้วนแล้ว และเห็นว่าหากกทม.ยืนยันยึดผลประโยชน์ของประชาชนก็ไม่เป็นไร ขณะที่พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ต้นทางที่เสนอเรื่องนี้เข้ามาพิจารณาก็บอกว่านำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมครม. มา 7 ครั้งแล้ว พร้อมยืนยันว่าการพิจารณาในวันนี้ไม่ใช่การต่อสัมปทานแต่เป็นการแก้ไขสัญญาเพื่อแก้ไขหนี้สินที่เกิดขึ้นให้ได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นกทม.หรือรัฐบาลฝ่ายเดียวก็ไม่สามารถแก้ไขได้ เรื่องนี้เอกชนต้องเข้ามาช่วย สุดท้ายประชาชนก็จะได้ประโยชน์ จะได้แก้ปัญหาหนี้ 5 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้การจะให้เอกชนลดค่าโดยสารให้ต่ำกว่า 65 บาทตลอดสาย ไม่สามารถทำได้อยู่แล้ว หากอยากให้ราคาถูกกทม.ต้องลดส่วนแบ่งรายได้ของตัวเองเพื่อนำไปชดเชย

สำหรับ 4 ประเด็นที่กระทรวงคมนาคมอ้างเป็นเหตุผลหลักในการคัดค้านต่อการขยายสัญญาสัมปทานมาโดยตลอด คือ 1. ความครบถ้วนตามหลักการของพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562 2.การคิดค่าโดยสารที่เหมาะสมและเป็นธรรมแก่ผู้ใช้บริการ กำหนดอัตราค่าโดยสารสูงสุดได้ต่ำกว่า 65 บาท 3.การใช้สินทรัพย์ของรัฐที่ได้รับโอนจากเอกชนให้เกิดประโยชน์สูงสุดจนกว่าจะครบอายุสัญญา 4. ข้อพิพาททางกฎหมาย กรณีกทม.ได้ทำสัญญาจ้าง BTSC เดินรถส่วนต่อขยายที่ 1 และ ส่วนต่อขยายที่ 2 ไปจนถึงปี 2585 ซึ่งได้มีการไต่สวนข้อเท็จจริงของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จึงควรรอให้เกิดความชัดเจน ทั้ง 4 ประเด็นนี้ทางพล.อ.อนุพงษ์ได้ชี้แจงในที่ประชุมครม.ว่าได้ชี้แจงไปหมดแล้ว และทำไปหลายครั้งแล้วแต่กระทรวงคมนาคมก็ยังถามกลับมาแต่เรื่องเดิมๆ

ทั้งนี้ในที่ประชุมครม. มีรัฐมนตรีหลายคนแสดงความไม่เห็นด้วยที่กรณีนี้กลายเป็นปัญหาคาราคาซังไม่จบเสียที โดยนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบุว่า หากต้องตอบคำถามเห็นแบบนี้เรื่อยๆ มันก็ไม่จบเสียที ด้านนายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ แสดงความเห็นว่า ครม.ควรตัดสินใจเพราะประชาชนเลือกเรามาแล้ว รัฐบาลควรแสดงความเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ และควรพิจารณาให้เสร็จภายในวันนี้เลย เช่นเดียวกับนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน ที่ระบุว่ารัฐบาลควรตัดสินใจได้แล้วว่าจะเอาอย่างไร

แปลกแต่จริงที่การพิจารณาเรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียวมีการคุยมาหลายรอบแล้ว ก่อนหน้านี้ทางรัฐมนตรีพรรคภูมิใจไทยก็ไม่เคยเห็นแย้งเรื่องราคาค่าโดยสารที่ 65 บาทแต่อย่างใด แต่เพิ่งมากลับลำเรื่องนี้ในภายหลังและมีท่าทีเปลี่ยนไปในเรื่องของการพิจารณากรณีรถไฟฟ้าสายสีเขียวแบบกลับตาลปัตร ถึงขนาดพล.อ.ประยุทธ์พูดในที่ประชุมครม.เมื่อวานนี้ถึงราคาค่าโดยสาร 65 บาท ว่า “ ก่อนหน้านี้ก็เห็นด้วยกันมาแล้ว แล้วทำไมตอนนี้ถึงมาเปลี่ยนใจ” หลายเรื่องออกจากปากรัฐมนตรีคนเดิม พรรคเดิม แต่วันนี้น้ำเสียง หลักการ เหตุผลกลับเปลี่ยนไปชนิดหน้ามือเป็นหลังตีน อ้างว่ารักษาผลประโยชน์ของประชาชน ถึงขนาดพล.อ.ประยุทธ์ต้องระบายกลางวงประชุมครม. ที่ถกเครียดกันเมื่อวานนี้ หลังเห็นสันดานคนในครม.เมื่อวานนี้ชัดเจน “วันนี้ผมพิสูจน์แล้วว่าใครเป็นอย่างไร ขอบคุณทุกคนที่อยู่ในห้องนี้” พล.อ.ประยุทธ์ปรารภ

ประเด็นปัญหาของเรื่องนี้มีความพยายามจะ “บิด” ประเด็นและพูด “เท็จ” จากบางฝ่ายเพื่อสร้างภาพให้ตัวเองดูดีว่ารักษาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน ขณะเดียวกันก็พยายามใช้โวหารข้อมูลเท็จสารพัดใส่ร้ายว่าพล.อ.ประยุทธ์ รัฐบาล กระทรวงมหาดไทย กำลังเข้าข้างเอกชนเสมือนเตะหมูเข้าปากหมา เอื้อประโยชน์ให้เอกชนยักษ์ใหญ่อย่างบีทีเอสได้สัมปทานต่อไปอีก 30 ปีจนถึงปี 2602 ทั้งๆที่สัมปทานเก่าก็ยังไม่หมดอายุและเหลืออีก 7 ปี คือปี 2572 แต่ความจริงที่แท้จริงที่เป็นเรื่องจริงของเรื่องนี้ คือ รัฐบาลค้างจ่ายค่าบริการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่เริ่มให้บริการตั้งแต่ เม.ย.2560 จนถึงปัจจุบัน (ก.พ.2565) ตกเดือนละ 580 ล้านบาท เป็นมูลค่า ณ ปัจจุบัน เกือบ 40,000 ล้านบาทเมื่อรวมดอกเบี้ย (และค่าใช้จ่ายตรงนี้ยังเกิดขึ้นตลอด) ยังไม่นับเงินลงทุนในเรื่องของค่าซื้อระบบการเดินรถ (ไฟฟ้าและเครื่องกล) มูลค่า 20,768 ล้านบาท ถามว่าเรื่องพวกนี้ทำไมรัฐมนตรีที่รับผิดชอบ ทำไมพรรคที่ดูแลกำกับกระทรวงนี้ไม่เอามาพูด ไม่เอามาอธิบายให้ประชาชนเข้าใจ ถึงภาระที่กรุงเทพมหานครและรัฐบาลต้องแบกรับอยู่ บีทีเอสไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการชำระหนี้จากรัฐจากกรณีที่ให้บริการเดินรถกับประชาชน โดยที่ตัวเองต้องควักเนื้อมีรายจ่ายเข้าตัวตลอดทุกวัน

ปัญหาของเรื่องนี้จริงๆ มันเกี่ยวข้องกันระหว่างรถไฟฟ้าสายสีเขียวกับการเปิดประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี ความจริงเรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียว ทางกทม.โดยพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯกทม.ก็ออกมายอมรับว่าไม่มีปัญญาหาเงินมาจ่ายหนี้บีทีเอสได้จนนำไปสู่การฟ้องร้องของเอกชน โดยที่กทม.ก็เห็นว่าทางออกของเรื่องนี้ก็มีแค่ 3 ทางคือ 1.โอนรถไฟฟ้าสายสีเขียวคืนให้รฟม.ไปบริหารตามเดิม 2. รัฐให้งบประมาณ กว่า 30,000 ล้านบาทแก่กทม.เพื่อชำระหนี้ให้บีทีเอส และ 3.ต่ออายุสัญญาสัมปทานสายสีเขียวให้กับบีทีเอสออกไปอีก 30 ปี จนถึงปี 2602 ทุกอย่างเหมือนจะจบลงได้ด้วยดี และทางออกก็น่าจะไปจบที่การขยายอายุสัมปทานให้บีทีเอสแทนการจ่ายเงินสดซึ่งรัฐบาลก็ไม่มีขีดความสามารถจะหาเงินมาแบกรับภาระตรงนี้ได้

ประเด็นสำคัญที่เป็นต้นตอของเรื่องนี้ เกิดภายหลัง 3 ก.ค. 2563 รฟม.ออกประกาศเชิญชวนเอกชนร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (พีพีพี)รถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์ – มีนบุรี มีเอกชนสนใจเข้าร่วม 10 บริษัท แต่จู่ๆ เมื่อ 21 ส.ค. 2563 คณะกรรมการตาม ม.36 และ รฟม. มีมติปรับเปลี่ยนประกาศเชิญชวนเอกชนร่วมลงทุน ในส่วนของหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกผู้ชนะการประมูลใหม่ แถมเป็นสาระสำคัญที่ทำให้เกิดผลได้ผลเสียต่อการประมูล ทั้งๆที่ในหลักการของพ.ร.บ.ร่วมทุน พ.ศ. 2562 ได้ห้ามไว้ว่ามิอาจกระทำได้ ที่สุดผู้บริหารบีทีเอสก็ฟ้องร้องคณะกรรมการตาม ม.36 และ รฟม. ต่อศาลปกครอง ร่วมทั้งทูลเกล้าถวายฎีกาขอความเป็นธรรมกรณีประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มไม่เป็นธรรม เพราะการเปลี่ยนกติกาประมูลครั้งนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนบางกลุ่ม รวมถึงทำหนังสือปิดผนึกถึงพล.อ.ประยุทธ์ขอให้ตรวจสอบการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม ที่ดำเนินการโดยไม่คำนึงถึงหลักนิติรัฐและนิติธรรมทำให้เอกชนขาดความเชื่อมั่นในตัวรัฐบาล

หลังเกิดการฟ้องร้องต่อศาลปกครองของบีทีเอสต่อจากปมปัญหาประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มจนทำให้การเปิดประมูลต้องเลื่อนและยุติออกไป ความคิด ความเห็น แนวทางการแก้ไขปัญหา รวมทั้งการหาทางออกในเรื่องหนี้ที่กทม.ค้างจ่ายต่อบีทีเอสซึ่งแบกภาระในการให้บริการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับประชาชนแบบควักเนื้อมาตลอด ของกระทรวงคมนาคมก็เปลี่ยนไปชนิด “จากหน้ามือเป็นหลังตีน” เพราะทำความเห็นทั้งท้วงทั้งแย้งทั้งขวางมาโดยตลอด เงินก็ไม่ยอมจ่าย สัมปทานก็ไม่ยอมต่อให้ ตั้งหน้าตั้งตาขวางโลก ทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลองเรื่องนี้มาตลอด เข้าครม. 7 ครั้งยังถูกตีกลับดีดออกเป็นว่าเล่น ต้นเรื่องอย่างพล.อ.อนุพงษ์คงสุดทนกับเรื่องนี้และเข้าใจดี ถ้าไม่ยอมกู กูก็ไม่ยอมมึง แลกกันคนละดอกแต่อยู่บนความทุกข์ของเอกชน ลงทุนวิ่งรถให้คนใช้เงินลงทุนเป็นหมื่นล้านบาท แต่ไม่มีรายได้คืนกลับมาสักสตางค์แดงเดียว อนาคตจะมีเอกชนหรือบริษัทหมาแมวที่ไหนมาลงทุนทำธุรกิจกับรัฐบาลไทย เพราะควักเนื้อจ่ายเงินไปแล้วแต่ไม่ได้ผลประโยชน์ตอบแทนอะไรกลับมา แถมถูกคนชั่วบิดเบือนข้อมูลจนถูกตราหน้าว่าเป็นเอกชนเอาแต่กำไร ไม่เห็นใจหัวอกชาวบ้าน ทั้งๆที่ตัวเองถูกขูดเลือดซิบๆ หน้าชื่นอกตรมกลืนเลือดอยู่ข้างในแบบไม่มีใครรู้

หนำซ้ำก่อนหน้านี้ วันดีคืนดีก็มีสภาองค์กรอ้างผลประโยชน์ชาวบ้าน ชูหลักการรักษาสิทธิ์ของผู้บริโภค(จำแลง) ร่วมมือกับสื่อชั่วใจดำอำมหิตปั่นข้อมูลมั่วให้คนหลงผิด แท้จริงก็เป็นเหลือบไรหากินกับความเดือดร้อนควาทุกข์ของชาวบ้าน ออกมาปลุกระดมคนในโซเชี่ยลให้ต่อต้านการต่อสัมปทานให้บีทีเอสแบบไม่อายฟ้าดิน บิดเบือนข้อมูลใส่ร้ายเอกชนที่ประกอบธุรกิจอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม โจมตีรัฐบาลใส่ร้ายพล.อ.ประยุทธ์ว่าอุ้มเอกชนไม่เห็นหัวอกชาวบ้าน ปล่อยข่าวต่อสัมปทานยาว 30 ปี อาจมีผลทำให้ค่าโดยสารแพงกว่า 65 บาทในอนาคต ลำพังคนปั่นข่าวเป็นพรรคฝ่ายค้านเป็นขั้วตรงข้ามก็พอรับได้ แต่นี้เป็นพรรคพวกกันเองเป็นคนในซีกรัฐบาล นั่งเรือแป๊ะอยู่บ้านหลังเดียวกันยังทำกันได้ถึงขนาดนี้ มีอะไรไม่พอใจก็ไปถกไปคุยกันในครม.ไม่ใช่บอยคอตเขียนหนังสือลาประชุมครม.กันเป็นเด็กๆ เป็นรัฐมนตรีกินเงินแสน มีปัญหาไม่พอใจไม่เห็นด้วยตรงไหนก็ไปคุยกัน อย่าใช้วิธีมักง่ายแบบนี้ ถ้าทำนองเดียวกันเรื่องที่พรรคภูมิใจไทยอยากให้ผ่านอยากให้เป็นผลงาน ยกตัวอย่างกัญชา กัญชง กระท่อม ถ้าพรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ พล.อ.ประยุทธ์สั่งก่อหวอด ไม่เข้าประชุม ขอลาไม่ยกมือไม่สนับสนุนบ้างจะเป็นไง ใจเขาใจเราต้องคิดถึงกันบ้าง อย่าคิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว อย่าคิดแต่เรื่องเซงลี้ ในหัวมีแต่ค้าขายหาเงินกันอย่างเดียว สุดท้ายปลายทางเรื่องนี้ใครกันแน่ที่รักษาผลประโยช์ของชาติหรือผลประโยชน์ของตัวเองไม่ต้อง ไม่ต้องมีข้อมูลมากมายไม่ต้องตามเรื่องนี้แต่ต้น ระหว่างพล.อ.ประยุทธ์กับพรรคภูมิใจไทย คนไทยตัดสินใจกันเอาเอง

วลีที่หลุดจากปากบิ๊กตู่กลางวงครม.ที่ว่า “วันนี้ผมพิสูจน์แล้วว่าใครเป็นอย่างไร” เจ้าตัวคงรู้ดีว่านักการเมืองประเทศไทยมันกินกันขนาดไหน ผู้กองว่าโหดแล้ว แต่เหี้ยมกว่าผู้กองในครม.ก็ยังมี เห็นทีเรือแป๊ะคงไปต่อลำบากแล้ว เรือรั่วเรือผุพังจากปัญหาสนิมเกิดแต่เนื้อในตนก็ว่าหนักแล้ว เจอพวกนั่งในเรือแต่ไม่ช่วยกันพายก็เรียกว่าหนักหน้าไปอีก แต่มาเจอดอกนี้นอกจากมือไม่พายเอาเท้าราน้ำแล้วยังไม่พอ ยังพายเรือทวนน้ำขวางทางไม่ให้ถึงฝั่งอีก ดอกเบี้ยบวกค่าบริการเดินรถไฟฟ้าก็งอกเงยทุกวัน หนี้ก้อนนี้ใครเป็นคนจ่าย ที่คนกรุงได้นั่งรถไฟฟ้าไปมาสบายเอกชนเจ้าไหนเป็นคนแบกรับใครเป็นผู้ให้บริการ เรื่องแบบนี้พรรคพี่คนดีไม่เคยเอามาพูดไม่เคยเอามาเหลาให้คนไทยฟัง ปากก็บอกแต่เป็นห่วงผู้โดยสารไม่อยากให้คนไทยใช้ตั๋วแพง แท้จริงโมโหเรื่องหมูจะหามอย่าเอาคานเข้ามาสอด ฟ้องสีส้มก็อย่าเอาสีเขียว ปล่อยให้พล.อ.ประยุทธ์กับพล.อ.อนุพงษ์หน้าชื่นอกตรมขมในคอกับการหาเงินมาจ่ายหนี้ค่าบริการรถไฟฟ้าหลายหมื่นล้านบาท ทั้งเสียวทั้งเสี่ยงติดคุกตาม ม.157 ก็รออยู่ แต่พรรคพวกสมุนก๊วนตัวเองยืนยิ้มหวานชูผลงานผ่านกัญชาให้ชาวบ้านหัวเราะร่านได้ชื่นบานกันทั้งแผ่นดิน อำมหิตเรียกพี่จริงๆ
///////////////////

ข่าวที่น่าสนใจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ มอบเงินสงเคราะห์ครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุช้างป่าทำร้าย จังหวัดฉะเชิงเทรา
เรือนจำกลางฉะเชิงเทรา จัดพิธีปิดโครงการ โคกหนองนา แห่งน้ำใจและความหวัง กรมราชทัณฑ์ รุ่นที่ 7/1
“ASEAN FIGHT” เปิดโหมดเดือดทะลุปรอท สะท้านสังเวียนผ้าใบ ในศึกรากหญ้ามวยไทย
“นายก หน่อย” ร่วมเครือข่ายพันธมิตรด้านสาธารณสุข สแกนกลุ่มเสี่ยงโรคมะเร็ง ตั้งเป้า 1 ล้านดวงใจ เพื่อคนโคราชต้องสุขภาพดี
ธนายุตม์ ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. ตรวจเยี่ยม-อำลา สภ.รัตนาธิเบศร์ มอบสิ่งของสร้างขวัญกำลังใจตำรวจ
“ผบ.ทสส.” หนุนเต็มที่ กองทัพบกสร้างรั้วแข็งแรงบ้านหนองจาน ป้องกัน “เขมร” รุกราน

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​