กลายเป็นข่าวใหญ่โตฮือฮาขึ้นมาในแวดวงการเมืองทันที หลัง “แรมโบ้” ดร.เสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ประกาศลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ก่อนจะเปิดตัวว่าได้ไปตั้งพรรคใหม่ใช้ชื่อว่า “พรรครวมไทยสร้างชาติ” แถมบรรยายสรรพคุณพรรคการเมืองใหม่เสร็จสรรพ ว่าเป็นพรรคที่สนับสนุนชู “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯต่ออีกสมัย หนำซ้ำชื่อพรรคคือรวมไทยสร้างชาติ ก็เป็นชื่อที่นายกฯตั้งและชื่นชอบจึงเป็นที่มาของการเอาไปตั้งจดทะเบียนเป็นชื่อพรรคการเมืองกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
” หากพรรคพลังประชารัฐมีปัญหาก็จะได้มีพรรคการ เมืองที่เป็นทางเลือกใหม่ให้นายกฯ พิจารณา ถ้าคิดว่าพรรคที่อยู่ไม่มีความสุข พร้อมทั้งไม่ต้องการให้นักการเมืองบางคน รุ่นเก่าๆ หรือพรรคเดียวมาบีบ หรือกดดันนายกฯ วางแผนเล่นเกมการเมืองกับนายกฯ ตลอดเวลา อย่าคิดว่าคนอย่างนายกฯ ไม่มีที่ไปหรือไม่มีที่ยืน” ดร.เสกสกลระบุเหตุผลการตั้งพรรค พร้อมประกาศกร้าวขอเป็น “หัวหมาดีกว่าหากราชสีห์” เพราะอยู่กับพรรคพลังประชารัฐก็ถูกโดดเดี่ยว ไม่ถูก “ลุงป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐใช้งานอะไร ผ่านไปวันๆมีแต่สนิมเขรอะป่าวๆ สู้ออกมาตั้งพรรคเอง วางพรรครวมไทยสร้างชาติเป็น “พรรคสำรอง” หรือ “พรรคอะไหล่” ให้กับพล.อ.ประยุทธ์ หากเกิดกรณีอุบัติเหตุไม่คาดฝันหรือถึงทางตันกับพรรคพลังประชารัฐน่าจะมีประโยชน์โพดผลมากกว่า
พูดจบก็เขียนใบลาออกจากพรรคลุงป้อม ก่อนมารันพรรคใหม่ไฉไลท์กว่า ล่าสุดก็ได้ปรพล อดิเรกสาร อดีตส.ส.สระบุรีไขก๊อกจากพรรคพลังประชารัฐตามมาอีกราย ขณะที่อนาคตเจ้าของฉายาแรมโบ้อีสานขุนพลปราบปรปักษ์ของพล.อ.ประยุทธ์ก็คุยฟุ้งว่าจะมีนักการเมืองดังและส.ส.จากพรรคพลังประชารัฐและพรรคอื่นๆ ตามมาสมทบกับตัวเองที่พรรครวมไทยสร้างชาติอีกมาก ทั้งนี้ในช่วงของการประชุมใหญ่ของพรรคช่วงเดือนมี.ค.นี้จะได้เห็นหน้าเห็นหลังชัดเจนกันทั้งหมด ข่าวว่ามีหลายคนในพรรคพลังประชารัฐอาจจะตามแรมโบ้มาช่วยกันทำพรรคใหม่เพื่อสร้างบ้านหลังหใม่ให้นายกฯ ในจำนวนนี้ก็มีทั้ง พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค อดีตรมว.ยุติธรรม ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผบ.ตร. ฯลฯ แม้กระทั่งมีข่าวว่าสกลธี ภัททิยกุล รองผู้ว่าฯกทม. เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ และชัชวาลล์ คงอุดม ก็อาจตามมาอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติด้วยในอนาคตเพื่อผนึกกำลังสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯต่ออีกสมัย
อย่าลืมว่าแม้พรรคพลังประชารัฐยังเป็นแกนนำรัฐบาลในปัจจุบัน แต่สภาพของพรรคตอนนี้ก็เข้าข่ายตกต่ำเสื่อมทรุด โดยเฉพาะหลังเกิดกรณีฝีแตก ที่ก๊วนหอกข้างแคร่ของ “ผู้กองแป้ง” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ถูกอัปเปหิพ้นพรรคไปรวม 21 คน จากเดิมที่พรรคพลังประชารัฐเคยมีสมาชิกรวม 116 คน หักก๊วนผู้กองไปตอนนี้ก็เหลือ 95 คน ไม่นับพวกถูกหยุดปฏิบัติหน้าที่ไปอีกเกือบ 10 คน สรุปตอนนี้พรรคพลังประชารัฐก็เหลือส.ส.ทำหน้าที่ได้จริงแค่ 80 กว่าคน หนำซ้ำอนาคตก็ยังไม่รู้ว่าจะได้ไปต่อหรือจบเห่แต่เพียงแค่นี้ เพราะล่าสุดก็ถูกคนไปร้องเรื่องขับส.ส.21 คนพ้นพรรคอาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย งานนี้ต้องรอลุ้นผลการตัดสินจากกกต. 14 ก.พ.นี้ ถ้าหลุดก็โชคดีแต่ถ้าติดร่างแหอาจซวยหนักถึงขั้นอาจถูกส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค จากเหตุเล่นละครตบตาขับ 21 ส.ส. เพราะความกังวลเรื่องนี้แหละ บวกกับความไม่แน่นอนและปัญหาสารพัดที่เกิดขึ้นในพรรคพลังประชารัฐ ที่สุดจึงนำไปสู่การตั้งพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นพรรคสำรองให้พล.อ.ประยุทธ์ เผื่อเหลือเผื่อขาดพรรคพลังประชารัฐดวงตกมฤตยูดวงตกสุดขีดถึงขั้นถูกยุบพรรค อย่างน้อยก็มีบ้านหลังใหม่ให้พล.อ.ประยุทธ์และส.ส.ได้ไปสิงสถิตย์ทำการเมืองต่อโดยไม่ขาดตอน
ยุทธศาสตร์แตกหน่อต่อยอดแบบนี้ไม่ใช่พล.อ.ประยุทธ์เท่านั้นที่ใช้ ก่อนหน้านี้ฝ่ายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนายใหญ่ก็ใช้ยุทธศาสตร์ “แตกแบงค์พันเป็นใบร้อย” แยกกันเดินร่วมกันตีแบบนี้มาก่อนแล้ว จากพรรคเพื่อไทยแตกสาขาออกไปเป็นพรรคไทยสร้างไทยของ “เจ๊หน่อย” สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ มารอบนี้พล.อ.ประยุทธ์เลยต้องลอกโมเดลนี้มาบ้างเพราะอนาคตไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไร มีพรรคสำรองไว้ก็อุ่นใจกว่าหากนับรวมพรรคที่สนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ชัดเจนนอกจากพรรคพลังประชารัฐ ตอนนี้ก็มีพรรคไทยภักดี พรรครวมไทยสร้างชาติ ส่วนที่เหลือก็เป็นพรรคพันธมิตรที่มีคนของตัวเองพร้อมเป็นนายกฯอยู่แล้วและหัวเด็ดตีนขาดคงไม่ทะลึ่งเสนอชื่อคนอื่นอย่างพล.อ.ประยุทธ์ที่ไม่ใช่คนของพรรคตัวเอง อาทิ พรรคภูมิใจไทยก็มีอนุทิน ชาญวีรกูล พรรคประชาธิปัตย์ก็มีจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หรือแม้แต่พรรคใหม่อย่างพรรคสร้างอนาคตไทยก็ชูสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นแคนดิเดตนายกฯโดยประกาศชัดแล้วว่าไม่เสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์ในบัญชีนายกฯ 3 คนของพรรคแน่นอน
ด้วยเหตุนี้พล.อ.ประยุทธ์จึงต้องมีพรรคที่แน่นอนในการเสนอชื่อเป็นนายกฯ ถ้าพรรคพลังประชารัฐเกิดอุบัติเหตุอย่างน้อยก็ยังมีพรรครวมไทยสร้างชาติเป็น “ก็อก 2” ในการเสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์ขึ้นเป็นนายกฯ หรือแม้แต่ “ก็อก 3” อย่าง “พรรคไทยสร้างสรรค์” ที่ก่อนหน้านี้มีชื่อมาก่อนตั้งแต่กลางเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว (2564) ว่าจะเป็นพรรคอะไหล่ของพล.อ.ประยุทธ์ ข่าวในตอนนั้นโหมโรงว่าคนที่รันพรรคก็มี “ปลัดฉิ่ง” ฉัตรชัย พรหมเลิศ อดีตปลัดมหาดไทยที่เพิ่งเกษียณออกมา รวมถึงได้รับการสนับสนุนจาก “เสี่ยตั้น” ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ อดีตรมว.ศึกษาธิการ รวมถึงพล.ต.อ.จักรทิพย์ แต่เหมือนพลุไฟดังอยู่แพพเดียวบนท้องฟ้าแล้วก็เงียบหายไป จากนี้คงต้องดูว่าพรรคพลังประชารัฐจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์ทางการเมืองอย่างไร และสุดท้ายปลายทางพรรคสำรองอย่าง พรรครวมไทยสร้างชาติ หรือ พรรคไทยสร้างสรรค์ ฯลฯ จะถูกใช้งานได้ให้บริการพล.อ.ประยุทธ์ต่อยอดทางการเมืองหรือไม่
สุดท้ายไม่ว่าพรรคใดจะเสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯ ต้องผ่านเกณฑ์ ม. 159 ของรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ระบุว่า ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้ง เป็นนายกฯจากบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตาม ม.160 และเป็นผู้มีชื่ออยู่ ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตาม ม.88 เฉพาะจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองที่มีสมาชิก ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร การเสนอชื่อตามวรรคหนึ่งต้องมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรด้วย ก่อนจะไปถึงตรงนั้นพรรคสำรองไม่ว่าจะเป็นพรรครวมไทยสร้างชาติหรือพรรคไทยสร้างสรรค์ ต้องได้ส.ส.อย่างน้อย 25 คนก่อนจึงจะเสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์ได้ จากนั้นต้องมีคนรับรองไม่น้อยกว่า 50 คน จากจำนวนส.ส.ทั้งหมด 500 คนด้วย ผ่านด่านตรงนี้ไปก่อนแล้วค่อยมาว่ากัน
///////////////
