เมื่อวันที่ 25 พ.ค.64 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่งคดีละเมิดอำนาจศาลที่ผอ.สำนักอำนวยการประจำศาลอาญา ผู้กล่าวหาขอให้ไต่สวนนายรัษฎา มนูรัษฎา ทนายความกลุ่มราษฎร ผู้ถูกกล่าวหา ฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 31(1) และมาตรา 33 กรณีประพฤติตนไม่เรียบร้อยในห้องพิจารณาคดีแกนนำกลุ่มราษฎร รวม 22 ราย เมื่อวันที่ 8 เม.ย.2564
ศาลมีคำสั่งว่า พิเคราะห์คำกล่าวหาของผอ.ประจำสำนักอำนวยการ ซึ่งกล่าวหาว่า วันเกิดเหตุ วันที่ 8 เม.ย.ที่ผ่านมา นายรัษฎา ผู้ถูกกล่าวหา ขอคัดถ่ายรายงานกระบวนพิจารณา คดีอาญาหมายเลขดำที่ อ.287/2564 ระหว่างพนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 โจทก์ กับ นายพริษฐ์ หรือเพนกวิน ชิวาลักษณ์ กับพวกรวม 22 คน เป็นจำเลย แต่เจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ไม่ให้คัดถ่าย
ต่อมาเมื่อพนักงานอัยการผู้ช่วย พูดว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้เป็นทนายแล้ว นายรัษฎา ผู้ถูกกล่าวหา จึงพูดตะคอกใส่พนักงานอัยการผู้ช่วย แล้วใช้มือทั้งสองข้างผลักบริเวณอกอย่างแรง เมื่อศาลไต่สวนโดยเรียกพนักงานอัยการผู้ช่วยมาสอบถาม ก็แถลงยืนยันต่อศาลว่า วันเกิดเหตุนายรัษฎา ผู้ถูกกล่าวหาใช้มือผลักอกของตนจริง นอกจากนี้ ผอ.สำนักอำนวยการประจำศาลอาญา แถลงต่อศาลในการไต่สวนว่า หลังจากเกิดเหตุได้รับทราบรายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวขณะอยู่ในห้องพิจารณา
นอกจากนี้ ศาลยังได้เรียกเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์มาไต่สวนโดยสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็แถลงยืนยันว่า ผู้ถูกกล่าวหาโต้เถียงกับตนและพนักงานอัยการผู้ช่วย ขณะที่นายรัษฎา ผู้ถูกกล่าวหาได้แถลงยอมรับต่อศาลว่า ตนเองใช้มือผลักอกพนักงานอัยการผู้ช่วย ขณะอยู่ในห้องพิจารณาคดีจริง ตามที่ผอ.สำนักอำนวยการประจำศาลฯ กล่าวหา ประกอบกับเมื่อศาลเปิดดูภาพเคลื่อนไหวและเสียง จากกล้องโทรทัศน์วงจรปิดภายในห้องพิจารณาที่เกิดเหตุ บันทึกภาพไว้ได้ ทุกคนต่างยืนยันว่าเป็นข้อมูลภาพเคลื่อนไหวและข้อมูลเสียงในวันเกิดเหตุ จากคำยืนยันของพนักงานบุคคลทั้งหมดดังกล่าว รวมทั้งคำยอมรับของนายรัษฎา ผู้ถูกกล่าวหา และจากพยานหลักฐานแผ่นดีวีดี ภาพเคลื่อนไหวและเสียง ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาใช้กำลังโดยใช้มือผลักอกของพนักงานอัยการผู้ช่วยจริง
การที่ผู้ถูกกล่าวหาก่อเหตุกระทำการดังกล่าวถือว่าเป็นการใช้กำลังทำร้ายร่างกายผู้อื่น ไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายกับกายหรือจิตใจ ภายในห้องพิจารณาคดี ซึ่งอยู่ในบริเวณศาลนี้ ซึ่งผิดต่อกฎหมายและเป็นพฤติกรรมที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในบริเวณศาล ซึ่งเป็นสถานที่ที่บุคคลทั่วไปทุกคนที่เข้ามาในบริเวณศาลย่อมมีความมั่นใจในความปลอดภัยว่าจะไม่ถูกล่วงละเมิดโดยการก่อเหตุใด ๆ การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าว จึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล อันเป็นความผิดฐาน ละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 31(1) และมาตรา 33 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15
อย่างไรก็ตามนายรัษฎา ผู้ถูกกล่าวหายอมรับแต่โดยดีทั้งยังแสดงความสำนึกผิดด้วยการกล่าวแสดงความเสียใจและขออภัยต่อพนักงานอัยการผู้ช่วยและเจ้าหน้าที่หน้าบัลลังก์ของศาลแล้ว อันแสดงให้เห็นถึงความสำนึกในสิ่งที่ผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำลงไป ศาลจึงลงโทษปรับผู้ถูกกล่าวหาเป็นเงิน 500 บาท และตักเตือนผู้ถูกกล่าวหาว่า ห้ามมิให้ประพฤติตนหรือแสดงกิริยาใดๆ ที่ไม่สมควรใน
บริเวณศาล อันถือเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลอีก หากความปรากฏต่อศาล ว่าผู้ถูกกล่าวหาก่อเหตุในลักษณะดังกล่าวอีก ศาลจะหยิบยกอ้างถึงคดีนี้แจ้งไปยังสภาทนายความ เพื่อพิจารณาตั้งคณะกรรมการสอบสวนเกี่ยวกับการประพฤติผิดมรรยาททนายความและเพื่อลงโทษฐานผิดมรรยาททนายความตามพ.ร.บ.ทนายความ พ.ศ.2528 มาตรา 52,64 และ 65 ต่อไป