สถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในหลายพื้นที่ยังไม่น่าไว้วางใจ ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 พ.ค. 64 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เผยผลตรวจเชื้อโควิด-19 ในแคมป์คนงานก่อสร้าง และบริเวณใกล้เคียง จำนวน 80 ตัวอย่าง พบว่าเป็นสายพันธุ์อินเดีย จำนวน 36 ราย สายพันธุ์ที่ทำให้การติดเชื้อรวดเร็วกว่าสายพันธุ์อื่น
แม้ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ยืนยันเอาอยู่ โดยสถานพยาบาลได้ดูแลกลุ่มผู้ติดเชื้อสายพันธุ์อินเดีย เป็นอย่างดีแล้ว แต่กับข่าวการพบเชื้อสายพันธุ์อินเดียก็ยิ่งสร้างความหวาดวิตกมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบรรดา ”นักเรียนและผู้ปกครอง”
เพราะไม่เพียงกระทรวงศึกษาธิการ ออกประกาศ เลื่อนการเปิดภาคเรียนประจำปีการศึกษา 2564 จากเดิมวันที่ 17 พ.ค. พอเจอการระบาดของโควิดระลอกสาม ทำให้ต้องเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 1 มิ.ย. แต่ล่าสุดเจอโรคเลื่อนออกไปอีกเป็นวันที่ 14 มิ.ย. ซึ่งจะเป็นการเลื่อนครั้งสุดท้ายหรือไม่ต้องมีการประเมินสถานการณ์เป์นระยะๆ
ทว่าสถานการณ์ที่กำลังสร้างความกังวลใจให้ผู้ปกครองและนักเรียนภายในระยะเวลาอันใกล้นี้ นั่นคือ กำหนดการสอบเข้าเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ มัธยมศึกษาปีที่ 4 (ภาคปกติ )
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีกำหนดสอบเข้าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในวันเสาร์ที่ 22 พ.ค. 64 ขณะที่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สอบเข้าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ในวันอาทิตย์ที่ 23 พ.ค. 64 เป็นการประกาศสอบพร้อมกันทั่วประเทศ มีนักเรียนมากกว่าพันคน ต่างเดินทางสู่สนามสอบหลายพื้นที่ โดยเฉพาะบรรดาสถานศึกษาที่อยู่เขตพื้นที่สีแดงเข้ม “กทม. นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ”
โควิด-19 ได้สร้างแรงกระเพื่อมกระบวนการสอบเข้าครั้งนี้ อย่างเห็นได้ชัด พบว่า สถานศึกษาหลายแห่ง ตัดสินออกประกาศการรับนักเรียนใหม่ บางโรงเรียนออกประกาศยกเลิกการสอบเข้า บางโรงเรียนเลื่อนการสอบ
ขณะที่บางโรงเรียนที่เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษมีการแข่งขันสูงคงเดินหน้า กำหนดสอบเข้าในวันที่ 22-23 พ.ค. เช่นเดิม พร้อมกับออกมาตรการคุมเข้ม ในเรื่องของการคัดกรองนักเรียน และการจัดห้องสอบให้ปลอดจากเชื้อโรค มีการกำหนดเวลาการสอบ ลดจำนวนข้อสอบ เพื่อให้การสอบเสร็จสิ้นภายในครึ่งวัน เป็นต้น
แน่นอนการปรับเปลี่ยนกระบวนการสอบ กระทบไปถึงนักเรียนโดยตรง ทั้งการเตรียมความพร้อมในการสอบ เกิดความกังวลใจ กระทบมาถึงบรรดาผู้ปกครองห่วงบุตรหลานในการเข้าสอบจะได้รับความปลอดภัยในสุขภาพพลานามัยหรือไม่ ที่สำคัญกว่านั้น บุตรหลานจะมีสถานศึกษาเรียนต่อหรือไม่
อีกปรากฎการณ์หนึ่ง เมื่อสถานศึกษาบางแห่งต้องออกประกาศรับสมัครนักเรียนเพิ่มเติม เช่น โรงเรียนบางแห่งที่เคยมีการสอบแข่งขันเข้าห้องเรียนGIFTED หรือ ห้องเรียนที่จัดหลักสูตรให้เหมาะสมเพื่อส่งเสริมศักยภาพของเด็กที่ฉายแววอัจฉริยะ ไม่ได้นักเรียนตามโคว้ต้าที่กำหนด ส่งผลให้โรงเรียนต้องประกาศรับสมัครจากนักเรียนสอบติดลำดับสำรอง แต่ทว่า ก็ยังไม่มีนักเรียนแสดงสิทธิ์เข้าเรียน ทำให้โรงเรียนต้องออกประกาศซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยังไม่นับรวม โรงเรียนที่ไม่มีการแข่งขันสูง ยืดเวลารับสมัครนักเรียนเข้าศึกษาต่อ
เกิดคำถามตามมาว่า กำลังเกิดอะไรขึ้น นักเรียนหายไปไหน !!!!
มิพักกล่าวถึง สถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ปกครองต้องขาดรายได้ ไม่มีเงินส่งเสียบุตรหลานศึกษาต่อ ทำให้นักเรียนหลุดออกจากระบบการศึกษาไปเลย
ทั้งนี้ มีข้อมูลจากองค์การยูนิเซฟ เมื่อช่วงต้นปี 64 นางเฮนเรียตตา โฟร์ ผอ.บริหารองค์การยูนิเซฟ ออกแถลงการณ์ระบุว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบสอง มีมาตรการปิดโรงเรียน ส่งผลกระทบต่อนักเรียนร้อยละ 90 ทั่วโลก โดยเด็กนักเรียนกว่า 1 ใน 3 ไม่สามารถเรียนทางไกลได้ ประมาณการว่าเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษาจะเพิ่มขึ้นถึง 24 ล้านคน เป็นระดับที่สูงที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ทักษะการอ่านออกเขียนได้และการคำนวณกำลังได้รับผลกระทบ อีกทั้งทักษะที่จำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตท่ามกลางเศรษฐกิจโลกในศตวรรษที่ 21 ก็กำลังถดถอย
กลับมาที่ประเทศไทย การแพร่ระบาดโควิดระลอกสาม มีการประเมินว่า ยิ่งการปิดเทอมยาวนาน ส่งผลให้ความรู้นักเรียนถดถอย สำคัญกว่านั้นส่งผลให้เด็กอาจหลุดจากระบบการศึกษา
“จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลให้เด็กต้องหยุดเรียน โดยปี 2563 เด็กไทยหยุดเรียนไปนานกว่า 90 วัน ส่วนปี 2564 เลื่อนเปิดภาคเรียนไม่น้อยกว่า 10 วันและอาจมีเหตุการณ์ปิดเรียนอีก หากเรายังควบคุมการระบาดไม่ได้ ที่ผ่านมาจากการติดตามภาวะวิกฤติของนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษของ กสศ. พบภาวะวิกฤติที่เป็นปัญหา 4 เรื่องใหญ่ คือ เรื่องแรกภาวะเครียดเงียบ เนื่องจากเด็กเป็นห่วงโซ่สุดท้ายในครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากโควิด ซึมซับปัญหาของครอบครัวที่พ่อแม่ตกงาน ไม่มีเงิน ทะเลาะกัน ใช้ชีวิตยากลำบาก แต่เด็กไม่สามารถระบายออกมาได้ ส่งผลให้เด็กเก็บตัว ไม่ร่าเริง สายตาเศร้าสร้อย สะสมความเครียดในตัวเอง ระยะยาวจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต และวุฒิภาวะทางอารมณ์ เรื่องที่สอง ภาวะการเรียนรู้ถดถอย”
“พบว่า ยิ่งหยุดเรียนยาวนาน เด็กจะเกิดภาวะถดถอยการเรียนรู้ทุกวิชา เรื่องที่สาม ภาวะทุพโภชนาการพบว่าเด็กยากจนพิเศษ ไม่ได้รับประทานอาหารเช้า ก่อนเกิดโรคระบาดมากถึงร้อยละ 40-45 จึงตั้งความหวังอาหารกลางวันที่โรงเรียน เมื่อโรงเรียนปิดยาว เด็กจะยิ่งขาดสารอาหารมากขึ้น เรื่องที่สี่ ภาวะหลุดจากระบบการศึกษา โดยเฉพาะช่วงรอยต่อระหว่างช่วงชั้น เช่น ปฐมวัยต่อ ป.1, ป.6 ต่อ ม.1 และ ม.3 ต่อ ม.4 เพราะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเด็กยากจนพิเศษที่ครอบครัวตกงาน ทำให้เด็กกลุ่มนี้ไม่ได้เรียนต่อและต้องทำงานหารายได้เลี้ยงครอบครัว “ ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ภาคประชาสังคม กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวไว้เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 64
นับเป็นสัญญาณร้ายในระบบการศึกษา ที่ทุกฝ่ายต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน