นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ท็อปนิวส์ แสดงความเป็นห่วงแนวทางการบริหารจัดการฉีดวัคซีนของรัฐบาล เพราะตอนนี้เริ่มมีประชาชนจำนวนมากกังวลแผนการฉีดวัคซีนของรัฐบาลซึ่งยังมีความสับสนและไม่ชัดเจนอยู่พอสมควร เนื่องจากการสื่อสารของฝ่ายนโยบายกับประชาชนมันมีการเปลี่ยนแปลงทำความเข้าใจไม่ค่อยตรงกัน ตัวอย่างล่าสุดคือวอล์คอินหรือไม่วอล์คอินต่างกันอย่างไร และตอนนี้ดูเหมือนว่าทุกอย่างยังต้องขึ้นอยู่กับจำนวนวัคซีน ไม่ว่าจะเป็นการกระจายไปแต่ละจุดหรือจำนวนที่รัฐได้มา ซึ่งขณะนี้ก็อาศัยวัคซีนซิโนแวคเป็นหลัก และการได้มาก็ต้องเจรจาเป็นครั้งๆไป เรื่องวัคซีนมีอีกหลายแง่มุมที่รัฐบาลต้องเร่งทำความเข้าใจกับประชาชน อาทิ เรื่องความเชื่อมั่น
“ตรงนี้ผมก็เป็นห่วงหากเราไม่จัดระบบให้ราบรื่นเรียบร้อย ความพยายามที่จะฉีดให้ได้ตามเป้าภายในสิ้นปีก็จะเป็นเรื่องไม่ง่าย ถ้าลองคำนวนดูหากต้องการจะฉีดให้ได้ตามเป้าหมาย ภายในสิ้นปีก็ต้องฉีดให้ได้วันละ 5 แสน ขณะที่มีความสับสนพอสมควรฉีดได้ไม่ถึงวันละแสนเลย เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นการบ้านใหญ่ข้อที่หนึ่งของรัฐบาล” อดีตนายกฯกล่าว
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า ประเด็นที่ 2 เห็นด้วยกับรัฐบาลว่าการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับคนไทยทุกคนที่ต้องช่วยกัน แต่ตอนนี้ปัญหามันกลายเป็นว่าคนไทยที่อยากฉีดวัคซีนจริงๆก็ยังไม่รู้จะได้ฉีดเมื่อไหร่ ผ่านช่องทางไหน อย่างผมก็ยังลงทะเบียนหมอพร้อมไม่ได้เลย เพราะเขาบอกอายุไม่ถึง แต่ตอนนี้ก็เกิดความสับสนว่ามีไม่ได้อยู่ในกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่ม 7 โรคเรื้อรัง แต่ทำไมถึงได้ฉีดก่อนคนอื่น ตรงนี้รัฐบาลต้องชี้แจงให้ทุกคนเข้าใจ ปัญหาคือมันไม่มีการจัดระบบการชี้แจงอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเพื่อไม่ให้คนไทยเกิดเความสับสน ว่าทำไมคนอื่นได้ฉีดแต่เราไม่ได้ฉีด นานไปก็จะกลายเป็นปัญหาสับสน รัฐบาลก็จะถูกกดดันไปๆมาๆก็จะมีคนไปเปิดช่องทางพิเศษให้มีการฉีด ที่สุดก็ทำให้คนไทยที่ลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชั่นหมอพร้อมตามปกติตั้งแต่แรก ไม่เข้าใจว่าตกลงรัฐบาลเอาแบบไหนกันแน่ และต่อให้ไปลงทะเบียนผ่านหมอพร้อมตอนนี้กว่าจะได้ฉีดก็เป็นเดือนก.ค.หรือส.ค. ตอนนี้ก็เลยสับสนไปหมด
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ข้อที่ 3 ทุกครั้งเวลามีการปรับมาตราการอะไรต่างๆ อยากให้รัฐบาลเตรียมมาตราการทางเศรษฐกิจที่สอดรับกันทันที ไม่ใช่พอประกาศมาตราการอะไรออกมาแล้วคนไม่รู้คนยังเคว้งอยู่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น หรือบางมาตราการที่ศบค.ประกาศผ่อนคลายออกมาแล้วแต่มันก็ยังไม่สามารถทำได้จริง เช่น มาตราการผ่อนคลายการนั่งในร้านอาหาร 25 % มันก็เลยทำให้คนที่ได้รับผลกระทบแรงๆมันไม่ได้รับการเยียวยาให้มันตรงจุด และในที่สุดรัฐบาลก็ยอมรับว่าต้องหาเงินมาเพิ่ม จนในไปสู่การขอกู้ 7 แสนล้านบาท
อดีตนายกฯกล่าวต่อว่า เรื่องสุดท้าย แปลกใจกรณีรัฐบาลออกพ.ร.ก.กู้เงิน 7 แสนล้านบาท แต่ทำไมรัฐบาลถึงทำงบประมาณแบบปรับลด คำถามแรกที่อยากจะถามรัฐบาลถึงเรื่องนี้เลยคือ ในเมื่อคิดว่าจะต้องใช้เงินมากขนาดนี้ ทำไมตั้งแต่แรกไม่ตั้งงบก้อนนี้ให้อยู่ในงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 ที่ยังไม่เข้าสภาไปเลย ทำไมไปลดงบประมาณแต่มาเพิ่มเงินกู้ ทำไมไม่เอาเข้าระบบงบประมาณไปเลย ความจริงได้เคยทักท้วงไปตั้งแต่มีการออกพ.ร.ก.กู็เงิน 1 ล้านล้านในครั้งที่แล้วไปแล้วว่าไม่ควรมีการกู้เงิน 4 แสนล้านบาทในรอบหลัง ตอนกู้เงินครั้ง 1 ล้านล้านรอบนั้นควรทำเฉพาะเรื่องเยี่ยวยากับสาธารณสุข ควรไปดูแลเรื่องชุดตรวจ เรื่องวัคซีน เรื่องโรงพยาบาลสนาม เรื่องเครื่องช่วยหายใจ ฯลฯ ยังยืนยันว่าเงินกู้ 4 แสนล้านบาทรอบหลังยังไม่เห็นว่ารัฐบาลเอาไปใช้อะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันเลย เลยเรื่องเป็นโครงการที่ไม่มีความพร้อมในการดำเนินการ ตรงนี้จึงไม่อยากให้การใช้เงินกู้ 7 แสนล้านบาทรอบนี้ไปซ้ำรอยคราวก่อนที่กู้มา 4 แสนล้านบาท ในส่วนของการกระตุ้นเศรษฐกิจก็สับสน เพราะหลายคนก็งงว่าตกลงรัฐบาลจะกระตุ้นหรือเยียวยา เพราะมันทำให้คนที่ได้รับผลกระทบเกิดความรู้สึกว่าบางคนที่ไม่ได้รับผลกระทบแต่ทำไมถึงได้รับการช่วยเหลือ แต่คนที่โดนแรงๆก็ไม่เห็นได้รับการเยียวยา
//////////////////