นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงมาตรการดูแลผู้ต้องขังติดเชื้อโควิดในเรือนจำเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีให้เร่งแก้ปัญหาในเรื่องนี้ โดยเร่งตรวจเชิงรุกทั่วประเทศไทยได้มากและรวดเร็วที่สุด ให้จัดตั้งโรงพยาบาลสนามในเรือนจำแต่ละแห่งที่มีผู้ติดเชื้อ และคัดแยกผู้ป่วยออกมาเพื่อรักษาตามระบบหากมีอาการรุนแรง แต่ถ้ายังไม่รุนแรงจะให้พักรักษาในโรงพยาบาลสนามของกรมราชทัณฑ์ ขอให้ความมั่นใจกับประชาชนว่าการรักษาเป็นระบบปิด โอกาสแพร่เชื้อมาสู่ชุมชนเกิดน้อยมาก เนื่องจากงดบุคคลภายนอกเข้าเยี่ยม ช่วงที่ระบาดมากจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น
เมื่อถามถึงมาตรการดูแลแคมป์คนงานที่พบติดเชื้อจำนวนมาก ไม่ให้ขยายไปในที่ชุมชน นายอนุชา กล่าวว่า นายกฯ ให้นโยบาย กทม.ดำเนินการฉีดวัคซีน ในช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ค.ในพื้นที่ กทม.อย่างน้อยให้ได้ 5 ล้านคน เพื่อครอบคลุมประชากรร้อยละ 70 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน เนื่องจากปัจจุบันยังพบการแพร่ระบาดในชุมชนแออัด โดยผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์แนะนำหากพบการระบาดจุดใดที่เป็นไข่แดง ให้นำวัคซีนไปฉีดเพื่อระงับตรงจุดนั้นระงับการแพร่ระบาด
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับการฉีดวัคซีนใน กทม. ทาง กทม.ได้จัดสรรวัคซีนไปตามสถานพยาบาลและหน่วยงานต่าง ๆ 231 แห่งที่พร้อมจะฉีดวัคซีน และสถานที่ที่ร่วมกับเอกชน 25 แห่ง และทดลองเปิด 4 แห่ง คือเซ็นทรัลลาดพร้าว สามย่านมิดทาวน์ เดอะมอลล์บางกะปิ และบิ๊กซี บางบอน เมื่อวัคซีนเข้ามาก็จะทยอยเปิดจุดอื่นต่อไป โดย กทม.ฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 5 แสนโดส มีผู้ได้รับวัคซีนกว่า 4 แสนราย
“นายกฯ ย้ำว่ามี 3 ช่องทางในการฉีดวัคซีน คือลงผ่านไลน์หรือแอพพลิเคชั่นหมอพร้อมเป็นช่องหลัก ซึ่งขณะนี้มีผู้ลงทะเบียนในระบบเกิน 7 ล้านคน ส่วนประเด็นเรื่องการวอล์กอิน ต้องดูว่าจุดบริการนั้นมีวัคซีนเพียงพอหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์วัคซีนที่จะเข้ามาในประเทศ ถ้าวัคซีนพร้อมเนื่องจากผู้ลงทะเบียนไม่มา ก็จะได้รับการฉีด แต่ถ้าไปในสถานที่ฉีดโดยที่ยังไม่ได้ลงทะเบียน ขอให้ลงทะเบียนในวันวอล์คอิน เพราะหากวัคซีนไม่พอจะได้ทราบวันและเวลานัดหมายที่ชัดเจน แต่ไม่ได้การันตีว่าจะได้ฉีดในวันนั้น และช่องทางปูพรมฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มที่พร้อม ที่นัดเป็นหมู่คณะโดยประสานผ่านทางกระทรวงสาธารณสุข” นายอนุชา กล่าว