No data was found

หญิงชัยภูมิวัย 43 ปี  พ่อแม่ไม่ได้แจ้งเกิด ไร้สิทธิชาวไทยแต่กำเนิด วอนขอความช่วยเหลือ

กดติดตาม TOP NEWS

ยังคงมีอยู่ในสังคมไทยไม่น้อยสำหรับคนที่ขาดสิทธิยืนยันตัวตนว่าเป็นคนไทย จะด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป แต่ท้ายสุด ณ วันนี้ก็ยังคงมีวิธีช่องทาง ที่หน่วยงานราชการยังคงมีมาตรการให้ความช่วยเหลือ พร้อมที่จะกลับมายืนยันตัวตนในความเป็นคนไทยเช่นกัน

วันที่ 3 ธันวาคม 2564 ผู้สื่อข่าว ได้รับทราบข้อมูล และได้ลงพื้นที่ไปที่บ้านเลขที่ 80 หมู่ที่ 6 ตำบลนายางกลัก อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง จึงได้พบกับนางบุปผา วิกล อายุ 43 ปี พร้อมกับสามีคือนายแพงสี นักรบ อายุ 49 ปี ผู้เป็นเจ้าบ้าน ครอบครัว และลูกอีก 2 คนที่กำลังอยู่ในวัยเรียน พบการเป็นอยู่ที่เรียบง่าย จากอาชีพการเป็นเกษตรกร และรับจ้างทั่วไป แต่การใช้ชีวิตของผู้เป็นแม่ ที่พบว่าในทุกวันนี้ตัวเธอเองยังไม่มีบัตรประชาชน หรือกระทั่งว่าไม่สามารถยืนยันได้ว่า “ เธอเป็นคนไทย “

จากการสอบถาม นางบุปผา วิกล เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า มาจนถึงวันนี้เธออายุ 43 ปีแล้ว แต่ย้อนกลับไปเมื่อคืนวันแรกเกิด ตัวเธอเองนั้นอยู่ในครอบครัวที่มีฐานะยากจน มีพี่น้องที่เป็นมารดาคนเดียวกันรวม 5 คน ซึ่งพี่น้องทุกคนได้มีการแจ้งเกิดและมีเอกสารการเป็นไทยทุกคน พื้นฐานครอบครัวต้องเร่ร่อนตามถิ่นฐานการใช้แรงงาน ของผู้เป็นพ่อและแม่ ไปตามจังหวัดต่างๆ โดยมีพื้นเพเดิม โดยทางพ่อของนางบุปผา เป็นคนอำเภอบ้านเหลื่อม จังหวัดนครราชสีมา จากนั้น ครอบครัวของเธอได้พากันโยกย้ายถิ่นฐานการทำมาหากินไปที่จังหวัดหนองคาย โดยปัจจุบันนี้ได้แบ่งเขตการปกครองเป็นจังหวัดบึงกาฬ ตัวเธอเองเล่าว่า พึ่งมาทราบว่าตนเองไม่ได้แจ้งเกิดและไม่มีเลขบัตรประชาชนในทะเบียนราษฎร เมื่อตอนที่เข้าโรงเรียนที่จังหวัดหนองคาย แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไรเนื่องจากมีการเข้าเรียนได้ตามปกติ และได้ย้ายมาเรียนต่อ ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดหนองคาย จนกระทั่งตัวเธอนั้นจบการศึกษาชั้นระดับ ป. 6 แล้วก็สร้างความหนักใจเธอให้อีกครั้ง เนื่องจากทางโรงเรียนไม่สามารถออกวุฒิการศึกษาให้ได้ เนื่องจากการเข้าเรียนของเธอนั้น เป็นเพียงการฝากเรียน เพื่อให้ได้มีการศึกษา แต่ด้วยระบบราชการที่ตัวเธอเองไม่มีบัตรประชาชน หรือทะเบียนราษฎร จึงไม่สามารถออกวุฒิการศึกษาให้ได้ นางบุปผา วิกล ยอมรับว่าในเรื่องใบเกิดของเธอนั้น การใช้ชีวิตในครอบครัวก็ไม่ได้ทำให้เธอต้องคิดถึงว่ามีความจำเป็นแค่ไหน จนกระทั่งบางครั้งได้สอบถามไปยังมารดาของตน ก็อยากได้คำตอบว่าแม่เคยไปทำแล้วแต่ว่าไม่มีค่าใช้จ่ายในเวลานั้น จึงปล่อยผ่านเรื่องนี้มาจนปัจจุบันนี้ หลังจากนั้น เธอก็มีครอบครัว โดยสามีของเธอนั้นเป็นคนจังหวัดชัยภูมิ และได้ย้ายถิ่นฐานเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ จนเธอได้ตั้งท้องลูกชายคนแรก จึงกลับมาอยู่ที่บ้านของสามี ที่จังหวัดชัยภูมิ และได้ฝากครรภ์ไว้กับ สถานีอนามัยหรือ รพ. สต จนกระทั่งครบกำหนดคลอด เธอก็เข้ารับการทำคลอดที่โรงพยาบาลเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ ตัวเอกสารในการฝากครรภ์และการทำคลอดที่โรงพยาบาล มีเพียงผู้เป็นบิดาที่มีเอกสารครบตามทะเบียนราษฎร์ แต่ตัวผู้เป็นแม่หรือตัวเธอเองนั้น มีเพียงชื่อที่เป็นมารดาแต่ไม่มีเลขบัตรประชาชนใดๆ เธอยอมรับว่าการคลอดลูกในครั้งนั้น ได้มีค่าใช้จ่ายในการคลอด ประมาณ 3 ถึง 4,000 บาท และได้ใช้ชีวิตที่บ้านสามี ที่จังหวัดชัยภูมิเลยมาจนกระทั่ง มีบุตรคนที่สองเป็นลูกสาว โดยการเดินเรื่องฝากครรภ์รวมถึงการทำคลอดก็เป็นไปอย่างลูกชายคนแรก แต่ด้วยค่าใช้จ่ายในช่วงนั้น ที่ตัวเธอเองก็ยอมรับว่าฐานะทางบ้านก็ไม่ได้ร่ำรวยจนกระทั่งคลอดลูกคนที่ 2 ปัจจุบันนี้ยังคงค้างค่าทำคลอดกับโรงพยาบาลเทพสถิตไว้ 1,500 บาท จึงเป็นคำถามในใจของเธอมาจนทุกวันนี้ว่าจะทำอย่างไร แต่ก็ยังไม่มีช่องทางที่จะสามารถดำเนินการได้ จึงใช้ชีวิตเรื่อยมาจนกระทั่ง วันหนึ่งสามีของเธอ ได้มีรายชื่อเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกัน covid 19 โดยตัวเธอเองนั้นก็ได้เดินทางไปด้วย โดยหวังว่าอาจจะได้รับการฉีด วัคซีนกับคนอื่นเช่นกัน แต่ผลไม่ได้เป็นเช่นนั้นเพราะเธอไม่สามารถรับการฉีดวัคซีนได้ เนื่องจากเธอไม่มีบัตรประชาชนหรือเลขประชาชนใดๆเลย แต่เป็นจังหวะที่ดี ที่ในวันนั้นทางด้านท่านนายอำเภอเทพสถิต ได้เดินทางมาดูการปฏิบัติงานการฉีดวัคซีน จึงได้รับทราบเรื่องราว ของนางบุปผา วิกล และได้มีการแนะนำให้นางบุปผา และครอบครัวเดินทางไปที่ว่าการอำเภอเพื่อยื่นเรื่องดำเนินการตามขั้นตอน ในวันถัดมา

นางบุปผา วิกล ยังเล่าต่ออีกว่า หลังจากที่มีการเข้าไปแจ้งเรื่องที่อำเภอ จนกระทั่งมีผู้สื่อข่าวเข้ามาสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น ก็ได้คำตอบจากทางอำเภอในเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ว่า ให้ตนเองนั้นหาหลักฐานการเรียนเพื่อทำการยื่นยันว่าตนเองได้มีตัวตน แต่ก็ไม่สามารถติดตามเอกสารที่จะมายืนยันได้ เพราะการเข้าเรียนเป็นการฝากเรียนเท่านั้น การดำเนินการที่จะยื่นคำขอในการรับการตรวจ DNA จึงยังไม่สามารถกระทำได้ ประกอบกับทางด้านพี่สาวก็มีอายุที่มากแล้ว จึงไม่สะดวกในการเดินทางอีกด้วย วันนี้จึงสถานการณ์จึงกลับมาตรึงเครียดอีกครั้ง

ทางผู้สื่อข่าวจึงได้ตัดสินใจพานางบุปผา วิกล พร้อมครอบครัวเดินทางกว่า 40 ก.ม. จากบ้านที่ตำบลนายางกลัก มาที่ว่าการอำเภอเทพสถิต เพื่อเข้าสอบถามความคืบหน้าที่นางบุปผา ต้องเฝ้ารอคำตอบมานานกว่า 2 เดือนแล้ว และเป็นจังหวะที่ดีที่ได้มาพบกับนายไพโรจน์ ทับทองหลาง ผู้ใหญ่บ้าน ในพื้นที่บ้านของครอบครับนางบุปผา เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า นางบุปผา ได้มามีสามีเป็นคนภายในหมู่บ้านของตน โดยมาอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านนานกว่า 20 แล้ว และทางก็ผู้ใหญ่บ้านก็พอที่ทราบเรื่องราวที่นางบุปผา ไม่มีบัตรประชาชน และเคยได้พูดคุยสอบถามก็พอจะทราบว่า ครอบครัวของนายบุปผา ไม่ได้มีการแจ้งเกิดเพราะอยู่ในครอบครัวที่ยากจนในสมัยนั้น ที่ทางครอบครัวต้องมีอาชีพที่ต้องเร่ร่อนอยู่ตลอกเวลา แต่ตนเองก็ยังเชื่อว่านางบุปผา เป็นคนไทยอย่างแน่นอน โดยทางผู้ใหญ่บ้านก็ยังเคยได้พานางบุปผา มาแจ้งเรื่องปรึกษากับทางอำเภอมาแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบเช่นกันว่าจะสามารถดำเนินการได้หรือไม่อย่างไร

 

จากนั้นผู้สื่อข่าวได้เข้าพบกับนายโกวิท ครองตาเนิน ปลักอำเภอฝ่ายทะเบียนฯ จึงได้คำตอบที่เป็นความคืบหน้าที่ดีว่า วันนี้ ทางอำเภอได้มีการเปลี่ยนแผนที่จะดำเนินการใหม่สำหรับเคสนี้ เนื่องจากเดิมที ทางอำเภอจะได้ให้มีการตรวจ DNA กับพี่สาวที่อยู่จังหวัดบึงกาฬ แต่จากการตรวจสอบกับพบว่า พี่สาวของนางบุปผา ที่ยืนยันว่าเป็นพี่น้องที่มีแม่เป็นคนเดียวกันแต่มีพ่อคนละคนกัน และผู้เป็นเป็นแม่ ก็ตรวจสอบแล้วว่าข้อมูลในปัจจุบัน ไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ ฉะนั้นการตรวจยืนยันผลก็จะไม่สามารถเชื่อมโยงไปยังผู้เป็นมารดาได้ แต่ก็ยังไม่หมดความหวัง เพราะได้พบข้อมูลที่เกี่ยวกับ ผู้เป็นพ่อของนางบุปผา คือนายณรงค์ ที่มีญาติพี่น้องอีกหลายคนอาศัยอยู่ที่บ้านโคกกระเบื้อง อำเภอบ้านเหลื่อม จังหวัดนครราชสีมา เพื่อทำการลงพื้นที่สอบสวนหาพยานหลักฐานแทนการตรวจ DNA และนำสำนวนทั้งหมดกลับมาทำการสรุปเพื่อนำเรียนนายอำเภอเพื่อขออนุมัติการเพิ่มชื่อเป็นขั้นตอนต่อไป

โดยหลังจากการพูดคุยสอบถาม นางบุปผา ก็ได้รู้สึกตื่นตันใจเป็นอย่างมาก ที่การเดินทางมาที่ว่าการอำเภอของเธอในวันนี้ จะเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับตัวเธออีกครั้ง จนนางบุปผา กลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหวกับการรอคอยวันที่เธอจะได้เป็นคนไทย ได้กล่าวขอบคุณหน่วยงาน และฝากข้อความไปถึงญาติพี่น้องที่ทางบ้านพ่อของเธอ ขอให้พี่น้องช่วยกันยืนยันให้เธอด้วย เพราะความเป็นคนไทย คือสิ่งที่อยู่ในใจของเธอมานานถึง 43 ปี และขอให้เรื่องนี้มอบเป็นของขวัญปีใหม่ ให้กับตัวเธอและครอบครัวได้มีความสุขต่อไป.

ภาพ/ข่าว มัฆวาน วรรณกุล ผู้สื่อข่าวภูมิภาค จ.ชัยภูมิ

ข่าวที่น่าสนใจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมิติเวช ชลบุรี และ ศรีราชา ให้การต้อนรับ มิสเตอร์ เจสัน รองกรรมการโรงพยาบาลสมัยใหม่ กวางโจ สาธารณประชาชนจีน นายชนะพล คลังรุ่งเรือง นายกสมาคมการค้า ไทย-เหลียวหนิง พร้อมทั้งโชว์ศักยภาพการให้บริการโรงพยาบาลในเครือ "สมิติเวช"
"ทนายเดชา" ฟันธงหลักฐานมัด "บิ๊กโจ๊ก" เตรียมต่อสู้ในชั้นศาล หักล้างความผิด
"จั๊กกะบุ๋ม" จุดธูปสาบานกลางรายการ ตอบชัดๆ "เป็ด เชิญยิ้ม" โทรหา "แม่ปูนา" หรือไม่
“อุ๊งอิ๊ง” แจงปมร้อน บินฮ่องกง มีหลายบทบาท ลั่นพร้อมรับฟังทุกดราม่า
วันไหลแห่เจ้าพ่อพระปรง หรือ วันไหล สงกรานต์ สระแก้ว อย่างยิ่งใหญ่
สื่อยิวเผยอิสราเอลยิงขีปนาวุธพิสัยไกลเข้าอิหร่านไม่ใช่โดรน
"ธีรยุทธ" ร้องผู้ตรวจการแผ่นดิน ยื่นศาลรธน.วินิจฉัยพรป.เลือกสว.เอื้อระบบฮั้วขัดกม.
"ก้าวไกล" หัวร้อนหนัก แจงโต้ "ชัยวัฒน์" กล่าวหาฝ่ายค้านเอี่ยวเผาป่าหวังผลการเมือง
“เสรีพิศุทธ์” ตอบทุกคำถาม หลังถูกมองเข้าข้าง “บิ๊กโจ๊ก” มีความเป็นกลางหรือไม่ในการวิเคราะห์
นานาชาติเรียกร้องอิหร่าน-อิสราเอลยุติการตอบโต้

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น