แม้จะมีข่าวทะเลาะภายในพรรคกันชนิดอีรุงตุงนังกัดกันไม่หยุด แต่ล่าสุดพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ภายใต้การนำของ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯในฐานะหัวหน้าพรรค พปชร.ก็ออกตัวเรื่องเลือกตั้งก่อนใครเพื่อน วานนี้ 23 พ.ย. ในที่ประชุมพรรคได้มีการแจกจ่ายเอกสาร กรอบแนวคิดการกำหนดนโยบาย แผนงาน โครงการของพลังประชารัฐให้กับส.ส.ทุกคน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสู้ศึกเลือกตั้งในเที่ยวหน้า โดยเตรียมจัดทำเป็นยุทธศาสตร์พรรคภายใต้สโลแกน “เศรษฐกิจพัฒนา ประชามีสุข ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยั่งยืน ประเทศชาติมั่นคง”
งานนี้เตรียมชูจุดขายนโยบายเด่นๆ อาทิ โครงการบัตรเครดิตเกษตรประชารัฐ วงเงิน 50,000 บาทต่อครอบครัว โครงการประชารัฐระดับตำบลๆ ละ 20 ล้านบาท โครงการประชามีสุข ต่อยอดสวัสดิการของรัฐเรื่องต่างๆ โครงการสร้างความตระหนักรู้ในความสำคัญของสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ฯลฯ เรียกว่าชิงจังหวะจัดทำยุทธศาสตร์ควบคู่ไปกับการจัดประชุมครม.สัญจรของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ทั่วทุกภาคของประเทศ สลับกับการลงพื้นที่ของแกนนำพลังประชารัฐที่มอบหมายให้รัฐมนตรีแต่ละคนหมุนเวียนกันลงไปรักษาฐานคะแนนในพื้นที่ต่างจังหวัดเป็นประจำอยู่แล้ว โดยมี “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค “อ.แหม่ม” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค เป็นหัวหอกลงพบปะกับชาวบ้าน แม้กระทั่งในกรุงเทพฯก็เห็น 2 เกลอ “นัส -แหม่ม” ออกแจกจ่ายข้าวของให้กับชาวบ้านที่โดนน้ำท่วมและเผชิญกับโรคโควิด -19 เพื่อรักษา 12 เก้าอี้ผู้แทนของพรรคในเมืองหลวง ขยายฐานการเมืองตั้งเป้ากลับมาเป็นรับบาลอีกสมัย
นอกเหนือจากการเดินหน้าจัดทำยุทธศาสตร์พรรค ควบคู่ไปกับการลงพื้นที่รักษาคะแนนเสียงจากชาวบ้านแล้ว การเมืองในสภาพล.อ.ประวิตรก็สั่งปิดจุดอ่อนลบจุดตาย กำชับส.ส.ของพรรคให้เข้าร่วมประชุมสภาโดยพร้อมเพรียงกัน และให้อยู่จนเลิกประชุม ไม่ใช่ไปแล้วหนีออก เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาองค์ประชุมหรือสภาล่ม โดยมอบหมายให้วิปรัฐบาลส่งชื่อส.ส.ทุกพรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่ยอมอยู่ร่วมประชุมมาให้ทราบ เพื่อจะได้แจ้งให้หัวหน้าแต่ละพรรคไปกำกับกำชับลูกพรรคของตัวเองไม่ให้ขาดประชุม ทั้งนี้เพราะหากสภาล่มบ่อยๆ พล.อ.ประวิตรเกรงว่าอาจถูกฝ่ายค้านฝ่ายแค้นนอกสภา หยิบเรื่องนี้ไปเป็นประเด็นกดดันให้รัฐบาลยุบสภาเพื่อแสดงความรับผิดชอบกรณีที่ส.ส.รัฐบาลขาดประชุมจนเป็นเหตุให้สภาล่มบ่อยครั้ง ขณะที่ฝ่าย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ล่าสุดก็ให้ความมั่นใจกับแกนนำพลังประชารัฐ เรื่องยังอยู่ร่วมหัวจมท้ายกับพลังประชารัฐต่อไปและไม่มีทางหนีไปอยู่พรรคสำรอง โดยธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกรัฐบาลกระบอกเสี่ยงลุงตู่ ออกมาระบุพล.อ.ประยุทธ์ยืนกราน ไม่มีความคิดเรื่องหนีไปอยู่พรรคไทยสร้างสรรค์ตามที่มีข่าว ประเด็นที่เกิดขึ้นนั้นมาจากการเสนอข่าวของโซเชียลมีเดีย นายกฯยังคงอยู่กับพรรคพลังประชารัฐต่อไป ในฐานะที่พรรคเสนอชื่อให้เป็นนายกฯในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้นายกฯยังไม่มีแนวคิดในเรื่องยุบสภา หากมีการแก้ไขกฎหมายลูกแล้วเสร็จแต่อย่างใด
ส่วนเรื่องของการแก้ไขกฎหมายลูก 2 ฉบับเพื่อให้สอดคล้องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3 มาตราที่โปรดเกล้าฯลงมาแล้ว และเกี่ยวข้องกับการปรับวิธีการเลือกตั้งใหม่ คือ ม.83, ม.86 ,ม.91 ซึ่งต้องไปออกกฎหมายลูก 2 ฉบับให้ล้อกันไป ประกอบด้วย พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. กับ พ.ร.ป.พรรคการเมือง ล่าสุด ไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค ที่เป็นมือกฎหมายพลังประชารัฐก็ต้องหาทางคุมเกมส์ให้ดีให้พรรคได้ประโยชน์สูงสุด แต่ก็ยังระบุไม่น่าเป็นห่วงเพราะคงยึดร่างพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.ของกกต.เป็นร่างหลัก ที่มีอยู่ 37 มาตราซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการส่งเรื่องให้กกต.จังหวัดนำไปรับฟังความคิดเห็นจากประชาชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตาม ม.77 ของรัฐธรรมนูญ ก่อนส่งกลับมาให้ที่ประชุมใหญ่กกต.อนุมัติ จากนั้นก็ส่งต่อให้ครม.พิจารณาเพื่อนำเสนอสภาต่อไป โดยสาระสำคัญอยู่ที่การบัญญัติให้พรรคการเมืองใช้เบอร์เดียวกันทั้งประเทศ ในการเลือกส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ส่วนการคำนวณ คะแนนส.ส.บัญชีรายชื่อ ก็ใช้วิธีเดียวกับการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อในการเลือกตั้งเมื่อปี 2554
เบื้องต้นเท่าที่ดูกฎหมายลูกที่แต่ละพรรคเสนอก็ใกล้เคียงกับร่างของกกต.แม้แต่ของพรรคเพื่อไทยเองก็คล้ายกัน จะมีฉีกเหงือกต่างเพื่อนพรรคเดียวก็คือก้าวไกลที่เสนอให้คิดคะแนนส.ส.บัญชีรายชื่อเหมือนการเลือกตั้งปี 2562 คือใช้วิธีคำนวณแบบจัดสรรปันส่วนผสม (MMP) ซึ่งทำให้ตัวเองได้ส.ส.บัญชีรายชื่อถึง 50 คนจากทั้งหมด 150 คน และเป็นหนึ่้งในปัญหาที่ทำให้พรรคใหญ่ต้องจับมือรื้อรัฐธรรมนูญเปลี่ยนกติกาเลือกตั้งจากบัตรใบเดียวเลือกส.ส.ได้ 2 แบบ กลับมาเป็นบัตร 2 ใบคิดคะแนนแยกกัน
งานนี้เชื่อว่าต้องเถียงกันอีกยาวสู้กันอีกหลายยก เพราะก้าวไกลคงผนึกกำลังกับพรรคเล็กๆไม่ยอมพรรคใหญ่ง่ายๆ ดูทรงแล้วการแก้ไขกฎหมายลูกก็คงจบไม่ง่ายไม่เร็ว ที่คิดไว้คร่าวๆว่าใช้เวลา 6 เดือน หรือ 180 วัน เอาเข้าจริงอาจจะเจอปัญหาอื่นๆทำให้ยาวกว่านั้นได้อย่างไรก็ตามล่าสุด “เนติบริกรเสื้อคลุมรถถัง” วิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฎหมายของรัฐบาล ก็พยายามออกมาลดกระแส “อยู่ยาว” ของนายกฯ ด้วยการเผยไทม์ไลน์กฎหมายลูกน่าจะมีการประกาศใช้ราว ก.ค. 2565 นี่คือการคิดเวลายาวที่สุด แต่ถ้าโปรดเกล้าฯลงมาก่อนกรอบเวลาก็จะเร็วขึ้น ทั้งนี้คาดว่ารัฐบาลอาจต้องมีการเปิดสภาสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณากฎหมายลูกในช่วงเม.ย. จากนั้นเมื่อพิจารณากฎหมายลูกแล้วเสร็จก็จะนำขึ้นทูลเกล้า โดยมีกรอบระยะเวลาในการวินิจฉัย 90 วัน ทั้งนี้หากกฎหมายลูกมีการประกาศใช้จะมีแรงกดดันให้มีการยุบสภา รัฐบาลก็ต้องเตรียมรับมือทางการเมืองเรื่องนี้ให้ดี
////////////////