โดย ปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
ตลกดีเหมือนกัน เรามีกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีหน่วยงานรับผิดชอบโดยเฉพาะ ใช้งบประมาณหนึ่ง เป้าหมายคือลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกวิถีทาง แต่พอจะเปิดประเทศ ผู้คนเฝ้ารอคอยว่าเมื่อไรจะดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหาร โรงแรมที่พักได้ พอมีนโยบายให้ดื่มได้ ข่าวพาดหัวสื่อโดยพร้อมเพรียงว่าผู้คน “เฮ” กันเลยทีเดียว ถึงขนาดผู้ประกอบการต้องรีบไปยื่นขอมาตรฐาน SHA กับ SHA+ กันจนระบบล่ม
สถานการณ์บ่งชี้ชัดเจนว่าการดื่มแอลกอฮอล์เป็น way of life ของผู้คน การควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จึงเป็น mission impossible การห้ามประชาสัมพันธ์เครื่องดื่มหรือห้ามขานอกเวลาห้ามยิ่งยากในยุคดิจิทัล ไม่เชื่อลองค้นดูในกูเกิ้ลก็ได้ ไลน์ก็เยอะแยะ ส่วนการควบคุมไม่ให้ดื่มยิ่งเป็นไปไม่ได้ แม้จะใช้ sin tax มาเป็นทุนที่ใช้จัดการ ก็ยังเห็นเพรื่อไปหมด แสดงว่า sin tax นั้นไม่ใช่ key success factor สมควรทบทวนการใช้ sin tax ซึ่งไม่สอดคล้องกับวินัยการเงินการคลังหรือไม่
หากยอมรับความจริง สมควรควบคุม “พฤติกรรมที่เป็นหรืออาจเป็นภัยต่อสังคมหรือสร้างภาระแก่สังคมอันเนื่องมาจากการดื่ม” เช่น ดื่มแล้วขับ ดื่มในสถานที่ที่ห้ามดื่ม ดื่มจนเมาครองสติไม่ได้ นี่เห็นด้วยว่าสมควรจัดการอย่างยิ่ง ซึ่งประเทศที่เขาเห็นว่าการดื่มแอลกอฮอล์เป็น way of life เขาก็มีมาตรการเหล่านี้ ส่วนการควบคุมการผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็มีกฎหมายควบคุมอยู่แล้ว
สำหรับตัวเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สมควรหรือไม่ที่จะเปลี่ยนจากการควบคุมเข้มข้นจนภูมิปัญญาท้องถิ่นต้องล้มหายตายจากไปหมด เป็นการควบคุมมาตรฐานและคุณภาพการผลิต ให้สะอาดปลอดภัย อย่างไวน์ของฝรั่ง สาเกของญี่ปุ่น โซจูของเกาหลี หรือเหมาไถของจีน ซึ่งเป็นการรักษาและต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น และส่งเสริมการใช้ผลผลิตทางการเกษตรภายในประเทศอันเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สินค้าเกษตร แทนที่จะจำนำหรือประกันราคากันทุกปี ช่วยพัฒนาสินค้า GI ได้ ส่งเสริม SMEs ก็ได้ด้วยถ้าให้ SMEs ทำได้บ้าง ไม่ใช่ให้เฉพาะรายใหญ่ทำ เพราะเครื่องไม้เครื่องมือผลิตเดี๋ยวนี้มีจำหน่ายในระดับ household use ด้วย ดูในอากู๋ก็ได้
นี่คิดอย่างยอมรับความจริง เพราะไม่ใช่คนชอบดื่ม แต่ถ้าต้องดื่ม ก็ดื่มตามสมควร ดื่มเกินแก้วครึ่งก็ไม่ขับรถแล้ว
ไม่มีอะไรหรอก เห็นข่าวคนมาขอ SHA+ กันถล่มทลายแล้วให้นึกขำ เท่านั้นเอง