ไม่ว่าจะแถออกมายังไงจะเบี่ยงไปแบบไหน ปฏิรูปไม่ใช่ล้มล้าง แต่วันนี้ชัดเจนแล้วว่าการเคลื่อนไหวของ 3 แกนนำอย่าง “อานนท์-ไมค์-รุ้ง” อานนท์ นำภา , ภาณุพงศ์ จาดนอก, ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยพิพากษาลงมาแล้วว่าเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ละเมิดซ่อนเร้นเซาะกร่อนบ่อนทำลาย สารพัดรูปแบบ หลากหลายวิธี ต่างกรรมต่างวาระ จากนี้ต่อไปคนเหล่านี้ก็จะถูกคนไทยจดจำไปตลอดกาลชั่วกัลปวสาน ในฐานะพวกล้มล้างการปกครองกลุ่มล้มเจ้ารื้อล้างสถาบัน สาสมกับความใจบาปหยาบช้าที่สวมบทแกนนำใส่ร้ายป้ายสีโจมตีสถาบันแบบมิอาจให้อภัยได้
นอกจาก 3 ตัวแกนนำนี้แล้ว ยังมีองค์กรเครือข่ายฝ่ายสนับสนุนอีกจำนวนมาก ที่ต้องพูดถึงและมิอาจละเลยได้ ไหนๆก็ตั้งใจจะกลายเป็นบุคคลประวัติศาสตร์ อยากเป็นผู้นำเปลี่ยนแปลงการปกครองในทางเลว ต้องการจารึกชื่อเป็นต้นทางในการคิดปฏิวัติล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของคนไทย ในคำวินิจฉัยของศาลก็ชัดเจนแล้วว่าสถาบันเป็นเสาหลักของชาติไทยมาแต่โบราณใครจะก้าวล่วงมิได้ ” พระมหากษัตริย์กับชาติไทยดำรงอยู่คู่กัน นับแต่อดีตถึงปัจจุบันและจะดำรงอยู่ด้วยกันต่อไปในอนาคตประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยแล้ว ปวงชนชาวไทยยังเห็นพ้องร่วมกันอัญเชิญพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเป็นสถาบันหลักคู่ชาติไทยและถวายความเคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้” ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชี้แจง
ถ้าพูดถึงตัวการสำคัญที่ลากเด็กปลุกม็อบขึ้นมาย่ำยีสถาบัน ชื่อของ “ทอนล้มเจ้า” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ต้องยืนหนึ่งเป็นคนแรก พฤติกรรมพฤติการณ์หลายครั้งนับไม่ถ้วนจำไม่หวาดไม่ไหว ที่ออกมาปลุกระดมคนสร้างกระแสปั่นชาวบ้านให้หลงผิดลุกขึ้นมาต่อต้านเจ้า เอาครั้งใหญ่ๆ ครั้งสำคัญๆ ให้คนไทยจำได้ง่ายๆ ตำรวจคนร้องจำได้ชัดๆ ว่าทอนล้มเจ้าปลุกคนชั่วช้าอย่างไร 12 ธ.ค.2562 โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ส่วนตัวที่ชื่อ Thanathorn Juangroongruangkit ” ถ้าทุกท่านรู้สึกทนไม่ไหว ไม่อยากจะทนกับสภาวะสังคมแบบนี้อีกต่อไป อยากจะมาร่วมกันเปลี่ยนแปลง ผมขอเชิญชวนทุกคน วันที่ 14 ธ.ค. นี้พบกันเวลา 17.00 น. ที่สกายวอล์ค ปทุมวัน นี่คือเวลาที่เราจะต้องส่งเสียงของประชานให้ดัง นี้คือเวลาที่เราจะต้องส่งเสียงให้ผู้มีอำนาจได้ยิน ถ้าท่านเห็นด้วยกับผมว่าเวลานี้พวกเราประชาชนต้องลุกขึ้นสู้ จะต้องลุกขึ้นทวงคืนความชอบธรรม ความยุติธรรม ความเสมอภาคทางสังคมกลับคืนมา เจอกัน 14 ธ.ค. สกายวอล์ค ปทุมวัน ”
จากนั้น 14 ธ.ค.2562 ธนาธรก็โชว์ห้าวเป้งเล่นใหญ่ ระหว่างร่วมงานเสวนาหัวข้อ ” พรรคการเมืองร่วมใจแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ที่จัดโดยคณะรณรงค์เพื่อรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน (ครช.) ณ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ธนาธรกล่าวอย่างมันส์ในวันนั้นว่า ประเทศไทยควรมีรัฐธรรมนูญใหม่ มาหากติกากันใหม่ ที่ทุกคนเห็นร่วมกัน อยู่ร่วมกันได้ แพ้ชนะการเลือกตั้งต้องทำตามกฎกติกา ยืนยันว่าการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมของประชาชน นี่ไม่ใช่ทางเลือกแต่เป็นทางรอดทางเดียวที่เหลืออยู่ของสังคมไทย แต่จะแก้เพื่อนำไปสู่การมีส่วนร่วมของประชาชนมีเพียง 2 ทางคือ แก้ด้วยเลือดหรือแก้ด้วยการยินยอมพร้อมใจของทุกฝ่าย “นี่ไม่ใช่เวลาที่เหนียมอาย ไม่ใช่เวลาต้องมาเกรงอกเกรงใจ แต่เป็นเวลาที่ต้องมาแสดงจุดยืนทางการเมืองให้ชัดว่าที่เป็นประโยชน์กับประชาชนที่สุด ” ทอนล้มเจ้ากล่าว
ตามมาติดๆถ้าทอนเข้าคุกเพราะเรื่องนี้ก็ต้องมี “บูดล้มเจ้า” ปิยบุตร แสงกนกกุล นักวิชาการสายล้มเจ้าที่เป็นต้นทางเป็นคนชี้นำให้เด็กหลงผิดผู้ใหญ่คล้อยตาม แต่ด้วยความฉลาดเป็นกรดเขี้ยวลากดินตัวพ่อกะล่อนเบอร์ต้นสายวิชาการ บูดล้มเจ้าเลยรอดสันดอนพ้นความผิดเรื่องล้มเจ้ามาตลอด แม้จะแซะเจ้านายบ่อยครั้งพาดพิงเบื้องสูงเป็นประจำ แถมยังเป็นคนปั่นหัวสอนนักศึกษาให้หลงผิด ตกเป็นเครื่องมือออกมาม็อบปั่นบ้านป่วนเมืองกันเป็นของสนุก ทั้งๆที่อยู่ในช่วงโควิด-19 ระบาดก็ไม่กลัวเกรง ฝ่าทั้งกฎหมายปกติผิดทั้งพ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ก็ไม่เคยมีใครเอาผิดลงโทษบูดล้มเจ้าได้เลย เพราะเก่งเรื่องพูดคาบลูกคาบดอก เป็นเต้ยเรื่องการใช้สำนวนโวหารฉวัดเฉวียนไปมา เลยเอาตัวรอดพ้นตารางมาได้ตลอด
แต่คนไทยใจรักชาติเทิดทูนสถาบัน ฟังบูดล้มเจ้าแล้วฟันธงตรงกัน ทุกวรรคทุกประโยคที่พูดถึงสถาบันล้วนมีเจตนาต่ำตมหวังเหยียบย่ำให้จมดิน ประโยคที่เปลว สีเงิน คนปลายซอย นิยามโคตรชัด “เหยียบสถาบันให้ต่ำ แต่ทำเป็นยกให้สูง” บูดล้มเจ้าแสดงตัวเผยความคิด ต่ำช้าสามานย์เช่นนี้เรื่อยมา 8 มิ.ย. 2559 โครงการนิติธรรมในประเทศไทย ณ ศูนย์กฎหมายเอเชียตะวันออก ม.ลอนดอน SOAS ประเทศอังกฤษ จัดสัมมนาวิชาการเรื่อง Thailand in a Deeper State of Crisis ? (ประเทศไทยใน ‘วิกฤตพันลึก’?) ตอนนั้นบูดล้มเจ้า ยังใส่หัวโขนนักวิชาการกฎหมายจากม.ธรรมศาสตร์ พ่วงสมาชิกนิติราษฎร์ พูดจาจาบจ้วงในหลวงเสมือนครอบงำศาล ระบุว่าพระราชดำรัสของในหลวงเมื่อ 25 เม.ย. 2549 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของตุลาการ ” ระบบการคัดเลือกผู้พิพากษาก็มาจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และดำเนินการในทางปิด สถาบันพระมหากษัตริย์ได้ให้ความสำคัญอย่างมากต่อระบบศาล ซึ่งเห็นได้จากคำปฏิญาณของผู้พิพากษาซึ่งต้องกล่าวว่าทำหน้าที่ในนามของพระมหากษัตริย์ด้วยจริยธรรมสูงสุด นับแต่นั้น พระมหากษัตริย์มีพระราชดำรัสเกี่ยวกับความยุติธรรมที่ตอกย้ำว่าผู้พิพากษาเป็นส่วนหนึ่งของสถาบัน เป็นผู้ที่ได้รับอำนาจโดยตรงและทำหน้าที่แทนกษัตริย์ในการดำรงความยุติธรรม อย่างที่เราเห็นในพระราชดำรัส 25 เมษายน 2549 ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของตุลาการภิวัฒน์…. สัญญา ธรรมศักดิ์ ยังได้เคยกล่าวไว้ในระหว่างการฝึกสอนผู้พิพากษาว่า ในบรรดาหน่วยงานข้าราชการ ศาลเป็นหน่วยงานเดียวที่ถือได้ว่าทำหน้าที่ในนามของกษัตริย์ ถ้าในหลวงสั่งให้เราทำอะไร เรายินดีที่จะทำ แม้นว่าการกระทำนั้นจะทำให้เราต้องตาย ”
ล่าสุดออกมาแสดงความเห็นประเด็นร้อนเรื่อง ม.112 บูดล้มเจ้าก็ยังไม่วายขู่เจ้านายไม่หยุด ” ผมยืนยันว่าบางประเทศยังคงมีโทษหมิ่นประมาทกษัตริย์อยู่ แต่ถึงเวลาเขาไม่เอามาใช้ เหมือนกฎหมายที่นอนหลับอยู่ แต่ถ้าเอามาใช้ก็อาจจะเป็นแค่โทษปรับหรือรอลงอาญา แต่กรณีไทยมันชัดเจนว่าโทษสูงมากจริง แล้วก็มีการเอามาใช้โดยสัมพันธ์กับบริบทการเมืองในแต่ละช่วง ทีนี้เราจะทำอย่างไรให้ธำรงรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อไปได้ ผมไม่เชื่อว่าการใช้ 112 มากขนาดนี้จะเป็นผลดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ การใช้ 112 ในลักษณะที่เปิดศึกกับเยาวชนทั้ง generation แบบนี้มันไม่มีประโยชน์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เลย ตรงกันข้ามจะทำให้พวกเขาไปไกลมากขึ้น ในสังคมหนึ่ง ความคิดคนแต่ละคนแตกต่างกันมากมาย แต่ทำอย่างไรที่เราจะอยู่ในสังคมเดียวกันได้ ผมเชื่อว่าเราจะอยู่ในสังคมเดียวกันได้ภายใต้คนที่คิดไม่เหมือนกัน มีคนรัก คนเฉย ๆ คนไม่ชอบ มีแน่นอน บางคนเอาปืนไปจ่อหัวบังคับยังไม่เปลี่ยนความคิดเลยก็มี เพราะฉะนั้นมันบังคับกันไม่ได้ และก็ต้องอยู่ร่วมกันในสังคม ในแผ่นดินนี้ จึงเหลืออยู่ทางเดียวคือเปิดให้มีเสรีภาพในการแสดงออก แล้วอดทนอดกลั้นซึ่งกันและกันต่อความเห็นที่แตกต่าง” บูดล้มเจ้าระบุ อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่
จากนี้ต้องจับตาดูว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น กกต. ป.ป.ช. สภา ตำรวจ จะเดินหน้าจัดการเอาผิดลงโทษ 3 แกนนำล้มล้างการปกครอง คนชี้นำ พวกปลุกปั่น กลุ่มยั่วยุ ก๊วนล้างสมองเด็ก ฯลฯ ที่มีพฤติการณ์สุ่มเสี่ยงมีการกระทำเข้าข่ายสนุบสนุนกลุ่มล้มเจ้าพวกนี้อย่างไร เพราะมีบัญชียาวเป็นหางว่าว ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง พรรคการเมือง นักวิชาการ ศิลปิน ดารา นักธุรกิจ ฯลฯ จะลงโทษจริยธรรม จะตัดสิทธิ์ จะยุบพรรค จะลงโทษวินัยหรือเอาผิดอาญาก็ต้องไปดูกัน อย่าปล่อยให้คำวินิจฉัยประวัติศาสตร์ ประมวลกฎหมายอาญาหลายข้อเตรียมรอไว้แล้ว ลำพังแค่ 3 ข้อของหมวด 2 ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ก็โดนตั้งข้อหาและผิดตามธงที่ศาลตั้งมาให้แล้ว แต่ละคนก็แทบอ้วกแตกเยี่ยวเล็ดแล้ว โดยเฉพาะ ม. 112-114 เริ่มจาก ม.112 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี , ม. 113 ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต , ม.114 ผู้ใดสะสมกำลังพลหรืออาวุธ ตระเตรียมการอื่นใด หรือสมคบกันเพื่อเป็นกบฏ หรือกระทำความผิดใด ๆ เพื่อเป็นกบฏ หรือยุยงราษฎรให้เป็นกบฏ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี ยังไม่นับรวมความผิดต่อพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ที่โพสต์กันสุดๆเกรียนกันเต็มโซเชี่ยลฯ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ฝ่าฝืนกันนับครั้งไม่ถ้วน ถามว่าคุ้มไหมกับการรับเงินแล้วมาทำลายสถาบันอันเป็นที่รักของคนไทย ปลายทางต้องถูกลงทัณฑ์อนาคตต้องถูกตราหน้าเป็นพวกล้มเจ้าคนหนักแผ่นดิน
/////////////
