“กองทัพภาคที่ 2” ยกสงครามรัสเซีย-ยูเครน เทียบเหตุชายแดน ชี้ “เขมร” ใช้โดรนติดอาวุธเป็นอาวุธหลัก มีหลักฐานจ้างต่างชาติรบไทย

"กองทัพภาคที่ 2" ยกสงครามรัสเซีย-ยูเครน เทียบเหตุชายแดน ชี้ "เขมร" ใช้โดรนติดอาวุธเป็นอาวุธหลัก มีหลักฐานจ้างต่างชาติรบไทย

“กองทัพภาคที่ 2” ยกสงครามรัสเซีย-ยูเครน เทียบเหตุชายแดน ชี้ “เขมร” ใช้โดรนติดอาวุธเป็นอาวุธหลัก มีหลักฐานจ้างต่างชาติรบไทย

 

ข่าวที่น่าสนใจ

12 ธันวาคม 2568 เพจเฟซบุ๊ก กองทัพภาคที่ 2 ได้โพสต์ข้อความระบุว่า #เรื่องยุทธวิธีของนักรบรับจ้าง ที่มีรูปแบบคล้ายกับที่ใช้ในสงครามรัสเซีย – ยูเครน

 

 


💥 โดรนบริบทความขัดแย้งระหว่างไทย – กัมพูชา และบทเรียนจากสงครามยูเครน – รัสเซีย
🏗️ การพัฒนาสงครามสมัยใหม่ทำให้โดรนกลายเป็นอาวุธที่เปลี่ยนรูปแบบการรบอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะ ” โดรน FPV แบบพุ่งชน ” ที่ใช้ในสงครามยูเครน–รัสเซีย ซึ่งเป็นต้นแบบสำคัญที่หลายประเทศนำไปประยุกต์ใช้ รวมถึงกัมพูชาในเหตุปะทะตามแนวชายแดนไทยในช่วงที่ผ่านมา การวิเคราะห์รูปแบบโครงสร้าง อุปกรณ์ และภูมิยุทธศาสตร์จากซากโดรนที่ยึดได้ในพื้นที่ไทย ทำให้เห็นความเชื่อมโยงของแนวคิดทางยุทธวิธี และสาเหตุที่กัมพูชาสามารถใช้โดรนได้ แม้ไม่มีประวัติการฝึกมาก่อนอย่างชัดเจน

” โดรน FPV ” ในสงครามยูเครน–รัสเซียเป็นตัวอย่างของอาวุธต้นทุนต่ำที่สร้างผลทำลายสูง โครงสร้างหลักประกอบด้วยเฟรมคาร์บอนไฟเบอร์ มอเตอร์ 4 ตัว และกล้อง FPV ที่เชื่อมต่อแว่นควบคุมแบบเรียลไทม์ ทำให้ผู้ควบคุมสามารถนำโดรนพุ่งเข้าหาเป้าหมายด้วยความแม่นยำสูงมาก ขณะเดียวกันยังมีการติดหัวรบขนาดเล็กหรือดัดแปลงจากกระสุนปืนใหญ่ ปืนกล หรือหัวรบ RPG ด้วยต้นทุนต่ำแต่มีผลทางยุทธวิธีสูง การผลิตจำนวนมากแบบโรงงานภาคสนาม ทำให้กองกำลังยูเครนและรัสเซียสามารถใช้โดรนเป็นหมู่โจมตีแนวหน้าได้อย่างต่อเนื่อง และเป็นเหตุการณ์ที่ถูกนำไปศึกษาและเลียนแบบทั่วโลก

 

เมื่อเปรียบเทียบกับซากโดรนที่ทหารไทยยึดได้ในพื้นที่ช่องบกและช่องอานม้า พบว่ามีลักษณะใกล้เคียงกับโดรน FPV ที่ใช้ในสงครามยูเครน–รัสเซียอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเฟรมขนาด 5 นิ้ว , แบตเตอรี่ LiPo พร้อมหัวต่อ XT60, โครงสร้างคาร์บอนไฟเบอร์ และรูปแบบการติดหัวรบด้วยสายรัดและเคเบิลไทร์ รวมทั้งชิ้นส่วนภายในที่บ่งชี้ว่าเป็นโดรนพุ่งชน ไม่ใช่โดรนลาดตระเวน การตรวจจับสัญญาณยังพบการเข้ามาจากทิศทางกัมพูชาในห้วงเวลาเดียวกับการปะทะ ทำให้ยืนยันได้ว่าการโจมตีดังกล่าวมีแบบแผนและถูกควบคุมโดยผู้ที่มีความรู้ในระบบ FPV อย่างจริงจัง

 

 

การนำโดรนทั้งระบบจากสมรภูมิยุโรปตะวันออกมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความเป็นไปได้น้อย เนื่องจากข้อจำกัดด้านการขนส่งและการควบคุมยุทโธปกรณ์ระหว่างประเทศ สิ่งที่เป็นไปได้มากกว่าคือการนำความรู้ เทคนิค บุคลากร และต้นแบบการประกอบเข้ามาเผยแพร่ให้กัมพูชา ซึ่งเป็นรูปแบบที่พบทั่วไปในสงครามพร็อกซีในศตวรรษที่ 21 ความรู้ด้านการประกอบโดรน FPV และการฝึกนักบินสามารถถ่ายทอดได้รวดเร็ว และผู้เชี่ยวชาญสามารถเดินทางเข้าประเทศภายใต้สถานะพลเรือน เช่น นักกีฬาโดรน ช่างเทคนิค หรือที่ปรึกษาเอกชน พร้อมนำอุปกรณ์ควบคุมที่พกพาง่ายเข้ามาด้วยโดยไม่สะดุดสายตา หนึ่งในหลักฐานที่สนับสนุนข้อสันนิษฐานนี้คือการพบคำสั่งเสียงภาษาอังกฤษ เช่นคำว่า “finished” ซึ่งไม่ใช่ภาษาที่ทหารกัมพูชาใช้ตามปกติ แต่เป็นสำนวนที่พบในการสื่อสารของนักบิน FPV ในสงครามยูเครน–รัสเซีย

ความแม่นยำในการโจมตี จุดเลือกพื้นที่ และพฤติกรรมการบินล้วนสะท้อนว่าผู้ควบคุมโดรนมีประสบการณ์มาก่อน และไม่ใช่กำลังพลกัมพูชาที่เพิ่งฝึกใช้โดรนเป็นครั้งแรก ความสามารถเช่นนี้ต้องอาศัยการฝึกระดับสูง และเป็นไปได้ว่าเกิดจากการสนับสนุนของบุคคลภายนอกประเทศหรือที่ผ่านสมรภูมิจริงมาแล้ว

 

 

จุดเด่นอีกข้อของโดรนที่กัมพูชาใช้คือ ระบบควบคุมผ่านสายไฟเบอร์ออปติก ซึ่งไม่สามารถถูกรบกวนสัญญาณด้วยระบบ jammer ของฝ่ายไทย การใช้สายควบคุมทำให้การสั่งการมีเสถียรภาพสูงในพื้นที่ภูเขา แต่ต้องใช้ทักษะสูงมากในการปฏิบัติการ แสดงให้เห็นว่ามีการเตรียมการและการฝึกที่เป็นระบบ ไม่ใช่ความสามารถระดับพื้นฐานของทหารกัมพูชาในอดีต
สำหรับการเลือกพื้นที่โจมตี เช่น ช่องบกและช่องอานม้า เป็นผลจากการประเมินภูมิยุทธศาสตร์อย่างชัดเจน จุดสูงของกัมพูชา เช่น เนิน 745 เปิดมุมมองกว้างเหนือพื้นที่ของไทย ทำให้ใช้เป็นฐานปล่อยโดรนได้อย่างปลอดภัยและมีความได้เปรียบ โดรนที่บินจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำควบคุมง่ายกว่า อีกทั้งลักษณะภูมิประเทศที่มีหุบเขา ร่องน้ำ และป่าทึบยังช่วยอำพรางสายไฟเบอร์ออปติก ทำให้ฝ่ายไทยตรวจจับได้ยาก การเลือกพื้นที่เช่นนี้จึงสะท้อนความเข้าใจลึกซึ้งของกัมพูชาเกี่ยวกับภูมิประเทศและลักษณะการรบด้วยโดรนสมัยใหม่

 

 

 

ผลกระทบต่อการรบของฝ่ายไทยจึงมีหลายด้าน ทั้งความเสียเปรียบทางภูมิประเทศ อุปกรณ์ jammer ที่ไม่สามารถใช้ได้กับโดรนแบบใช้สาย และแรงกดดันทางจิตวิทยาที่เกิดจากการโจมตีที่มองไม่เห็นแหล่งต้นทาง ทำให้ต้องปรับยุทธวิธีการตั้งรับใหม่ทั้งหมด รวมถึงการพัฒนาระบบตรวจจับ การยิงสกัด และการจัดกำลังในพื้นที่ให้เหมาะสมขึ้น

 

จากการประเมินทั้งหมดนี้สามารถสรุปได้ว่า กัมพูชาไม่ได้มีความเหนือกว่าไทยในด้านเทคโนโลยีทางทหาร แต่ได้เปรียบจาก ” การเลือกพื้นที่โจมตีที่เหมาะสม + การนำเทคนิคและน่าจะมีการบุคลากรจากสงครามยูเครน–รัสเซียมาใช้จริง ” ทำให้โดรนของกัมพูชามีประสิทธิภาพสูงกว่าที่คาดการ และเป็นบทเรียนสำคัญที่ไทยต้องนำไปพัฒนากำลังรบในมิติใหม่ของสงครามโดรนต่อไป

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

ปราจีนบุรี ส่งร่างทหารกล้ากลับภูมิลำเนาอย่างสมเกียรติ
ฉะเชิงเทรา สภ.บ้านโพธิ์เตรียมจัดงานวันเด็กแห่งชาติ 2569 อย่างยิ่งใหญ่
"นายกฯอนุทิน" เปิดใจยุบสภาฯ ย้ำยันยึด MOAไม่มีหักหลัง แต่ปชน.แจ้งยกเลิกหนุนรัฐบาล เหตุปล่อยให้สว.มีส่วนแก้รธน.
แผ่นดินไหว 6.7 แมกนิจูดญี่ปุ่นเตือนภัยสึนามิ
สืบสวนบ่อวินปิดล้อมเครือข่ายสิ่งเสพติด จับหนุ่ม 41 ปี ยึด 1,145 เม็ด – 7.8 กรัม พร้อมรถจักรยานยนต์
กัมพูชาไว้อาลัยทหารหญิงท้อง 4 เดือนดับในเหตุปะทะ

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​