วันที่ 26 พฤศจิกายน 2568 ณ ห้องประชุมหอฝิ่น อ.เชียงแสน จ.เชียงราย นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานการประชุมสัมมนาความร่วมมือ 4 ประเทศ 10 ฝ่ายเขตชายแดน ครั้งที่ 11 โดยมีหน่วยงานจากจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย ผู้แทนฝ่ายไทย รวมถึงผู้แทนระดับสูงจากเขตปกครองตนเองชนชาติไหลื้อสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน (จีน) เมืองเชียงตุง–ท่าขี้เหล็ก (เมียนมา) และผู้แทนจากแขวงหลวงพระบาง อุดมไซ พงสาลี หลวงน้ำทา และบ่อแก้ว (สปป.ลาว) เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง
การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อขยายความร่วมมือพหุภาคีด้านการพัฒนาระหว่างประเทศในมิติต่าง ๆ ทั้งเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน การศึกษา วัฒนธรรม รวมถึงสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญของภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
ภายในที่ประชุม คณะผู้แทนจากทั้ง 4 ประเทศได้กล่าวสุนทรพจน์แสดงวิสัยทัศน์ร่วมกัน เน้นย้ำความสำคัญของการสร้างเสถียรภาพ ความมั่นคง และการเติบโตทางเศรษฐกิจในพื้นที่ชายแดน ก่อนร่วมลงนามใน “หนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent)” เพื่อยกระดับความร่วมมือให้เป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น
นายนรศักดิ์ สุขสมบูรณ์ เปิดเผยว่า ประเด็นสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะ คุณภาพน้ำและระบบนิเวศ เป็นหัวข้อสำคัญที่ทุกฝ่ายให้ความสนใจ โดยไทยเสนอแนวทางสร้างสมดุลนิเวศ วิถีชีวิต และระบบติดตามคุณภาพน้ำ–อากาศร่วมกัน รวมถึงการตั้งตัวชี้วัดและการรายงานผลแบบบูรณาการ เพื่อให้ทุกประเทศใช้เป็นข้อมูลกำหนดนโยบายร่วมกัน
รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายกล่าวว่า ประเทศลุ่มน้ำโขงมีความพยายามใช้แนวคิดกลางในการ “รักษาระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม” ควบคู่กับการดูแลประชาชนริมแม่น้ำโขง โดยส่งเสริมให้ทุกประเทศตรวจสอบข้อมูลร่วมกัน เพื่อสามารถแก้ไขปัญหาในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) และมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซูโจว ประเทศจีน ได้ร่วมลงนาม MOU จัดตั้งห้องปฏิบัติการตรวจคุณภาพน้ำแบบร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งจะนำเทคโนโลยีจากจีนมาเสริมการตรวจวิเคราะห์ โดยให้ความสำคัญกับผลกระทบต่อพืชและสัตว์น้ำ รวมถึงน้ำที่ใช้ในการเกษตร เพื่อให้ข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน ลดความกังวลของประชาชนเกี่ยวกับผลกระทบทางสุขภาพ
หลังเสร็จสิ้นการประชุม คณะผู้แทนจากทั้ง 4 ประเทศได้เดินทางลงพื้นที่ศึกษาดูงาน ณ สำนักงานด่านศุลกากรเชียงแสน และท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน พร้อมรับฟังการบรรยายสรุปด้านการบริหารจัดการท่าเรือ ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของการขนส่งและความร่วมมือในลุ่มน้ำโขงอีกด้วย
