“ดุสิตโพล” ชี้ “ภูมิใจไทย” ได้เปรียบสุด ความพร้อมเป็นรัฐบาลเหนือทุกพรรค แถมคะแนนนิยมโตแบบก้าวกระโดด


ข่าวที่น่าสนใจ
23 พ.ย. 2568 “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “พรรคการเมืองไทย พรรคใดได้เปรียบ” กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 1,794 คน (สำรวจทางออนไลน์และภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 19-21 พฤศจิกายน 2568 พบว่า พรรคภูมิใจไทยถือเป็นพรรคที่มีความได้เปรียบมากที่สุดถึง 8 ข้อ โดยเฉพาะด้านความพร้อมที่จะเป็นรัฐบาล ร้อยละ 41.36 ความพร้อมด้านทรัพยากร (ทุน) ร้อยละ 40.80 และความสามารถในการทำงานทางการเมือง ร้อยละ 35.79 ขณะที่พรรคประชาชนมีความได้เปรียบเรื่องความทันสมัย ร้อยละ 50.06 รองลงมาคือ ความสามารถในการตรวจสอบ ร้อยละ 41.69 และความสามารถในการสื่อสาร ร้อยละ 34.39 ส่วนพรรคเพื่อไทยได้เปรียบเพียงข้อเดียว คือประสบการณ์ทางการเมือง ร้อยละ 29.88 ด้านประเด็นความซื่อสัตย์สุจริต ประชาชนยังไม่แน่ใจว่าพรรคใดมีความโดดเด่น ร้อยละ 22.52 สุดท้ายเมื่อถามว่าหากมีการเลือกตั้ง ณ วันนี้ พรรคการเมืองที่จะเลือกแบบบัญชีรายชื่อ คือ พรรคประชาชนมากที่สุด ร้อยละ 26.25 รองลงมาคือพรรคภูมิใจไทย ร้อยละ 22.02 และพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 12.54

ดร.พรพรรณ บัวทอง ประธานสวนดุสิตโพล ระบุว่า คะแนนนิยมของพรรคภูมิใจไทยขยับขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยประชาชนมองว่ามีศักยภาพเชิงโครงสร้างในการทำงาน ขณะที่พรรคประชาชนเด่นด้านภาพลักษณ์ใหม่ สื่อสารดี และตรวจสอบได้ ส่งผลให้คะแนนนิยมแบบบัญชีรายชื่อขึ้นนำเป็นอันดับหนึ่งแม้ไม่ทิ้งห่างภูมิใจไทยมากนัก หากมีการยุบสภาเร็วกว่ากำหนด ทิศทางการแข่งขันน่าจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการแปลงภาพลักษณ์และศักยภาพที่มีให้เป็นความเชื่อมั่นเพื่อตัดสินใจในวันเลือกตั้ง
ผศ.มนตรี พานิชยานุวัฒน์ หัวหน้าศูนย์พัฒนาเครือข่ายความร่วมมือทางวิชาการด้านกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต วิเคราะห์ว่าผลโพลครั้งนี้สะท้อนภาพรวมที่น่าสนใจของการแข่งขันทางการเมืองไทยในปัจจุบัน โดยพบว่า พรรคภูมิใจไทยยังคงครองความได้เปรียบในหลายมิติทั้งความพร้อมในการเป็นรัฐบาล การมีทรัพยากรเพียงพอและศักยภาพด้านการทำงานทางการเมืองและในทางสภา ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยสำคัญต่อเสถียรภาพของพรรคการเมืองในระยะยาว ขณะเดียวกันพรรคประชาชนกลับโดดเด่นในมิติที่เกี่ยวข้องกับภาพลักษณ์ยุคใหม่ เช่น ความทันสมัย ความสามารถในการสื่อสาร และศักยภาพด้านการตรวจสอบ ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการเมืองที่ฐานเสียงคนรุ่นใหม่มีบทบาทมากขึ้น ส่วนพรรคเพื่อไทยแม้จะยังมีความได้เปรียบด้านประสบการณ์ทางการเมือง แต่กลับไม่สามารถครองความโดดเด่นในประเด็นอื่น ๆ ได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ผลสำรวจยังพบว่า ประชาชนจำนวนไม่น้อยยังไม่มั่นใจเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง สะท้อนความไม่ไว้วางใจที่ยังคงอยู่ในระบบพรรคการเมืองโดยรวม และเมื่อหันมาพิจารณาความนิยมแบบบัญชีรายชื่อ หากมีการเลือกตั้งวันนี้กลับพบว่าพรรคประชาชนได้รับคะแนนสูงสุด แซงหน้าภูมิใจไทย แม้ในหลายด้านภูมิใจไทยจะมีศักยภาพเหนือกว่า ซึ่งชี้ให้เห็นช่องว่างระหว่าง “ภาพลักษณ์เชิงศักยภาพ” กับ “พฤติกรรมเลือกตั้งจริง” ของประชาชน ปรากฏการณ์เช่นนี้บ่งบอกว่าการเมืองไทยยังคงเปิดกว้าง และความนิยมทางการเมืองสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วตามสถานการณ์และอารมณ์สังคมในช่วงเวลานั้น ๆ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ข่าวล่าสุด
เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น