สืบเนื่องจากพนักงานสอบสวน บก.ปปป. ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ประกอบการห้างหุ้นส่วนจำกัด ผู้กล่าวหา ว่าสิบเอกจักรพันธ์ฯ หัวหน้าฝ่ายแบบแผนและก่อสร้างและคนรู้จัก มีพฤติการณ์เรียกรับเงินจากตนเองเพื่อแลกกับใบอนุญาตก่อสร้าง
ล่าสุด วันที่ 11 พ.ย. 68 กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (GB) โดยกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) และกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบช.ก. ได้สั่งการให้ พล.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก , พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. ,
พ.ต.อ.วนัสชัย ยิ่งยงสมสวัสดิ์ ผกก.2 บก.ปปป. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลาง ร่วมกับ
สำนักงาน ป.ป.ช. ภายใต้การอำนวยการของนายสุรพงษ์ อินทรถาวร รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ,นายจรงค์ เกราะเหมาะ ผอ.สำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ, นายไพโรจน์ นิยมเดชา ผอ.กลุ่มสืบสวนและปฏิบัติการข่าว 2 สำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ เเละเจ้าหน้าที่สำนักงาน ป.ป.ท. ภายใต้การอำนวยการของ นายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท., พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตลา รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. และเจ้าที่
ร่วมกันสืบสวนจับกุม ผู้ต้องหาที่ 1 สิบเอกจักรพันธ์ฯ อายุ 45 ปี หัวหน้าฝ่ายแบบแผนและก่อสร้าง โดยสถานที่จับกุมและแจ้งข้อกล่าวหา อบต.แห่งหนึ่งใน อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ที่ 15/2568 ลงวันที่ 10 พ.ย.68 โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐาน “เป็นเจ้าพนักงาน เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการ อย่างใดในตำแนตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ , เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต , เป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างได้ในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่”

ผู้ต้องหาที่ 2 นายสายันต์ฯ หรือ น้อย อายุ 63 ปี เจ้าหน้าที่แสดงตัวจับกุมได้ภายในปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งพร้อมกับเงินสดจำนวน 2 ล้านกว่าบาท ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 ที่ 16/2568 ลงวันที่ 10 พ.ย. 68 โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐาน “เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ , เป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต , ป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานของรัฐ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานของรัฐ เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด
สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบเพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่”
โดยมีพฤติการคือเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2568 ผู้กล่าวหา ได้ยื่นคำขออนุญาตก่อสร้างอาคารโกดังขนาดพื้นที่ 4,000 ตารางเมตร บนที่ดินพื้นที่ ต.หัวหว้า อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี1 ต่อกองช่างโยธา อบต.แห่งหนึ่ง ใน อ.ศรีมหาโพธิ ปรากฏว่าในวันเดียวกันมีบุคคลชื่อน้อย ทราบภายหลังคือ นายสายันต์ฯ ผู้ต้องหาที่ 2 อ้างตนเป็นเลขาส่วนตัวของนายก อบต.ดังกล่าว ติดต่อผู้กล่าวหาทางโทรศัพท์ เสนอว่าสามารถดำเนินการขอใบอนุญาตก่อสร้างได้แต่เรียกรับเงินค่าออกใบอนุญาต ตารางเมตรละ 125 บาท (รวม 500,000
บาท) อ้างว่าต้องนำเงินไปให้กับนายก อบต.ดังกล่าว ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจลงนามใบอนุญาตดังกล่าว
ต่อมา นายสายันต์ฯ ได้ติดต่อมายังผู้กล่าวหาจำนวนหลายครั้งเพื่อขอให้ผู้กล่าวหาว่าจ้างตนเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างและถมดิน โดยเสนอว่าจะอำนวยความสะดวกในการออกใบอนุญาตทุกขั้นตอนและได้ ข่มขู่ว่าหากผู้กล่าวหาดำเนินการเองจะมีปัญหาและลำบากพร้อมทั้งระบุว่าตนสามารถจัดการกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ทั้งหมด ขณะที่สิบเอกจักรพันธ์ฯ ผู้ต้องหาที่ 1 ได้โทรศัพท์สอบถามและยืนยันกับผู้กล่าวหาว่า หากจ่ายเงินให้นายน้อยฯ จะได้รับใบอนุญาตแน่นอน โดยอ้างว่าโรงงานใหญ่ทำมาหมดแล้ว ต่อมามีการเจรจาเรียกรับเงินเพิ่ม รวมเป็น 6,500,000 บาท อ้างว่าเป็นเงินมัดจำงานก่อสร้าง และค่าออกใบอนุญาต พร้อมข่มขู่ว่า
หากไม่จ่ายจะไม่ออกใบอนุญาตให้ ทั้งนี้ ผู้กล่าวหาได้ บันทึกภาพและเสียงการสนทนาไว้เป็นหลักฐานหลายครั้ง ซึ่งมีถ้อยคำยืนยันการเรียกรับเงินอย่างชัดเจน ต่อมาผู้กล่าวหาได้มาร้องทุกข์กล่าวโทษต่อ พนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปปป. เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานและขออนุมัติศาลอาญาคดีทุคดีริตและ
ประพฤติมิชอบภาค 1 ออกหมายจับผู้ต้องหา จำนวน 2 ราย จนกระทั่งวันนี้(11 พ.ย.68) บก.ปปป.ร่วมกัมกับเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.,ป.ป.ท. เข้าจับกุมผู้ต้องหาในเขตที่ จ.ปราจีนบุรี และนำมา
ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ยังสามารถตรวจยึดอาวุธปืนได้อีก 4 กระบอก แต่เป็นปืนที่มีทะเบียนที่ถูกต้องตามกฏหมาย แต่ทั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ก็จะได้ทำการตรวจสอบเอกสารที่แน่ชัดอีกครั้ง

ทางด้านพล.ต.ต.จรูญเกียรติ รอง ผบช.ก. ได้กล่าวว่า ” พื้นที่อำเภอศรีมหาโพธิ เป็นพื้นที่สีแดงพื้นที่ต้องเฝ้าระวัง” เมื่อก่อนการเรียกรับเงินก็จะเป็นนายกเป็นคนเรียกรับเงินโดยตรง ก็จะถูกดำเนินคดีไป แต่ในพื้นที่อำเภอศรีมหาโพธิถือว่าเป็นพื้นที่ ที่เลวร้ายกว่าที่อื่น คือนายกไม่ได้ลงมาเกี่ยวข้องก็ต้องเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่จะต้องทำการสืบสวนหาข้อเท็จจริงต่อไป ปฏิบัติการในวันนี้ตนเรียกว่าปฏิบัติการรวบหัวรวบหาง คือการเข้ามาขออนุญาตของผู้ประกอบการนั้นเป็นการขอใบอนุญาต อ. 1 ในการก่อสร้างส่วนค่าธรรมเนียมในการขอเอกสารตารางวาละ 50 สตางค์ แต่ในพื้นที่ตรงนี้กลับมีการเพิ่มราคาขึ้นเป็นตารางเมตรละ 125 บาททางผู้ประกอบการมีการเขียนแบบและนำมายื่น แค่การยื่นแบบครั้งแรกก็เสียไปแล้ว 500,000 บาท ส่วนกันจะได้ใบอนุญาตอ. 1 ก็จะมีการส่งตัวแทนเข้ามาเจรจา กับเลขาและคนใกล้ชิดของนายก ส่วนที่จะได้รับใบอนุญาตอ.1 ต้องมีการจ่ายใต้โต๊ะอีกจำนวน 4 ล้านบาท จากการคำนวณการก่อสร้างในครั้งนี้จะเสียเงินเพียงแค่ 19 ล้านบาทแต่กลับต้องมาเสียค่าใต้โต๊ะเพิ่มขึ้นมาเป็นเงิน 23 ล้านกว่าบาท และตนก็มองว่าพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่กระทำแบบนี้กันจนเป็นวัฒนธรรม ตรงนี้ทำตรงอื่นก็จะทำเลียนแบบกัน จึงมองว่าเป็นพื้นที่ที่อันตรายเป็นพื้นที่สีแดง เจ้าหน้าที่จึงจะต้องจับตาพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่พิเศษ
จากการสอบถามปากคำเบื้องต้น ผู้ต้องหาคือนายน้อย ยังให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ส่วนทางด้านสิบเอกจักรพันธ์ ให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ทางชุดเจ้าหน้าที่ได้นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 รายเข้าไปทำการสอบสวนเพื่อขยายผลที่บชน.ก. เพื่อหาผู้ที่อยู่เบื้องหลังและจะติดตามจับกุ่มมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ภาพ/ข่าว ณัฐวัฒน์ กุลเศรษฐ์สุวภา ผู้สื่อข่าว TOPNEWS ทั่วไทย จ.ปราจีนบุรี

