“หม่อมจ๊ะโอ๋” ยืนยันต้องทวงคืนช้างกลับไทย ย้ำไม่บังควรเงียบเฉยต่อความเป็นอยู่ของช้าง

"หม่อมจ๊ะโอ๋" ยืนยันต้องทวงคืนช้างกลับไทย ย้ำไม่บังควรเงียบเฉยต่อความเป็นอยู่ของช้าง

หม่อมหลวงวันรัชดา วรวุฒิ หรือหม่อมจ๊ะโอ๋ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เกี่ยวกับกรณี “ช้างทูตไทย” อย่าง พลายประตูผา ที่ไปตั้งแต่ปี 2523 และ พลายศรีณรงค์ – พลายศักดิ์สุรินทร์ ที่ตามไปในปี 2545 ซึ่งช้างทั้ง 2 เชือก ต่างถูกใช้งานในพิธีศาสนามาหลายสิบปีในประเทศศรีลังกา และขณะนี้ประชาชนคนไทยรู้สึกมีความเป็นกังวลและห่วงใยสุขภาพช้างรวมถึงความเป็นอยู่ที่ถูกถ่ายทอดออกมาทางภาพและคลิปวีดีโอว่าช้างทั้งสองเชือกทำงานอย่างหนักแถมยังถูกทรมานทั้งทุบตีและล่ามโซ่ รวมถึงการเอาเหล็กแทงขาอีกด้วย

 

 

อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าประเทศไทยอยากจะทวงคืนช้างทั้งสองเชื่อกลับมาแต่ทางศรีลังกาเหมือนว่าจะไม่ยอมให้กลับมาง่ายๆทุกอย่างจึงต้องค่อยเป็นค่อยไป ส่วนกระแสในเมืองไทยก็มี 2 ด้าน ด้านหนึ่งอยากให้เอากลับมาดูแลรักษาที่เมืองไทยเกษียณจากการทำงานที่ศรีลังกาได้แล้วเนื่องจากช้างมีอายุเยอะแล้ว อีกกระแสนึงก็มองว่าไม่ควรไปทวงช้างทั้งสองเชื่อคืนเพราะเป็นช้างพระราชทานเราได้ให้เขาไปแล้วและเชื่อว่าเขาน่าจะเลี้ยงดูอย่างดีที่สุด

ต่อเรื่องดังกล่าวหม่อมจ๊ะโอ๋ได้แสดงความคิดเห็นว่า ในฐานะคนไทยผู้รักช้าง เราเข้าใจทั้งพระเกียรติยศและพระเมตตา เรื่อง “ช้างพระราชทาน” ควรถูกพูดด้วยเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ และด้วยความเคารพ ไม่ใช่ความขัดแย้ง เข้าใจดีค่ะ

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ช้างพระราชทาน : สัญลักษณ์แห่งไมตรีและพระเมตตา “ช้างพระราชทาน” ไม่ใช่เพียงของขวัญจากชาติหนึ่งสู่อีกชาติ แต่คือเครื่องหมายแห่ง พระเมตตาและพระเกียรติยศของไทย ที่สืบสายสัมพันธ์ระหว่างสองแผ่นดินด้วยความรักและความเคารพ

จริงอยู่ การจะทวง “ช้างพระราชทาน” กลับไทย ไม่ใช่เรื่องที่ใครคนใดจะลุกขึ้นทำได้โดยอารมณ์หรือกระแสสังคม เพราะการพระราชทาน คือ “พระราชภาระทางไมตรี” ระหว่างรัฐ ไม่ใช่ของส่วนบุคคล แต่ในขณะเดียวกัน การเงียบเฉยต่อสภาพความเป็นอยู่ของช้างพระราชทาน ก็ไม่ควรถูกมองว่า “ไม่บังควร” เช่นกัน เพราะพระราชทาน “ด้วยพระเมตตา” ไม่ใช่เพื่อให้ช้างถูกใช้อย่าง ผิดวัตถุประสงค์

 

 

สิ่งที่น่าจะทำคือ 1.ตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างไทย–ศรีลังกาตรวจสอบ ดูแลสุขภาพ และกำกับการเลี้ยงดูช้างพระราชทานให้ถูกต้องเหมาะสม ตามหลักสัตวศาสตร์อย่างเป็นทางการ 2.ให้สัตวแพทย์ไทยเข้าไปช่วยภายใต้กรอบความร่วมมือ ไม่ใช่การ “ทวงคืน” — แต่อยาก “รับกลับมาดูแลหลังเกษียณ” ด้วยความเคารพและไมตรี 3.รายงานข้อเท็จจริงต่อรัฐบาล ผ่านกระทรวงฯ เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างถูกต้อง เหมาะสม และเป็นไปตามขั้นตอน เพราะหัวใจของเรื่องนี้ไม่ใช่ “ใครเป็นเจ้าของช้าง” แต่คือ “เรายังดูแลสิ่งที่ชาติไทยเคยมอบให้ด้วยพระเมตตา ได้ดีพอหรือยัง”

 

 

เหล่านี้ท่านสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ออกมาชี้แจงอย่างชัดเจนแล้วผ่านเพจส่วนตัวของท่าน ทวงด้วยอารมณ์คือการเมือง แต่ดูแลด้วยความเคารพคืออารยธรรม ประเทศไทยไม่เคยละเลยมิตรประเทศใด และไม่เคยละเลยช้างที่เป็นสัญลักษณ์แห่งพระเมตตา เราจึงพร้อมร่วมมือกับศรีลังกาอย่างเคารพ และมีอารยธรรม

 

 

ถูกต้องเลยค่ะ เรื่องนี้ไม่ใช่ใครจะลุกขึ้นทำได้โดยไม่รู้ขั้นตอน แต่ในขณะเดียวกัน ประชาชนที่รักช้างก็มีสิทธิ์ตั้งคำถามด้วยความห่วงใย เพราะ “การเงียบ” ไม่ได้แปลว่า “เคารพ” เสมอไป และ “การเอ่ยถามด้วยเมตตา” ก็ไม่ใช่ “การละเมิด” สิ่งที่ทุกคนอยากเห็น ไม่ใช่การทวงคืนด้วยอารมณ์ แต่คือการดูแลช้างพระราชทานอย่างสมพระเกียรติ ทั้งตามหลักสัตวศาสตร์ และตามพระราชปณิธานแห่งความเมตตา “การดูแลด้วยเหตุผล คือการเทิดพระเกียรติ แต่การดูแลด้วยหัวใจ คือการเทิดพระเมตตา” ช้างคือทูตแห่งความรัก ไม่ใช่ของฝากจากประวัติศาสตร์

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

บก.ท็อปนิวส์ ทั่วไทย(ภาคเหนือ) ร่วมกับพุทธศาสนิกชนทั่วทุกสารทิศ ทอดกฐินสามัคคี ที่วัดพุทธบูชาป่าโคกประสาท อำเภอชำนิ จังหวัดบุรีรัมย์
ตร.บช.ปส.-ตร.ชลบุรี แถลงข่าวจับแก๊งค้าสิ่งเสพติดรายใหญ่ พร้อมของกลาง 3.64 ล้านเม็ด ซุกบ้านทรงไทยหรู พื้นที่ อ.พนัสนิคม
มจร.น่าน-วัดพระธาตุแช่แห้ง จัดงานวันบุรพาจารย์ และพิธีมุทิตาสักการะ พระราชนันทวัชรบัณฑิต ประจำปี 2568
ทยาลัยเทคนิคฉะเชิงเทรา ร่วมงาน “มหากฐินล้านกอง ล้านดวงใจ ล้านความดี” ปีที่ 8
สมเด็จพระสังฆราชฯ ประทานผ้าพระกฐินทอดถวาย ณ วัดเหล่าเจริญราษฎร์ อ.เวียงเชียงรุ้ง 
ฉะเชิงเทรา สาธารณสุขจังหวัดฉะเชิงเทราร่วมงานทอดกฐิน

ดู LIVE รายการ

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น​