รอยเตอร์สรายงานว่าผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปคทั้ง 21 เขตได้ทยอยเดินทางถึงศูนย์ประชุมเมืองคยองจูเพื่อเข้าร่วมการประชุมสุดยอดเอเปคซึ่งจะมีขึ้นเป็นเวลา 2 วันระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม-01 พฤศจิกายน 2568 โดยสีในฐานะประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับสองของโลก จะรับบทบาทนำในเวทีการประชุมครั้งนี้ หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐไม่เข้าร่วมการประชุม แต่ส่งสก็อต เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังเข้าร่วมประชุมแทน
ระหว่างเปิดการประชุม ประธานาธิบดีอี แจ-มยอง ผู้นำเกาหลีใต้และประธานการประชุมกล่าวว่า “ในขณะที่ระเบียบการค้าเสรีกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลกก็กำลังทวีความรุนแรงขึ้น การค้าและการลงทุนกำลังสูญเสียโมเมนตัม” เป้าหมายสำคัญของการประชุมครั้งนี้จึงจะอยู่การเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานโลก โดยประธานการประชุมได้เรียกร้องผู้นำเอเปคยกระดับความร่วมมือและลดอุปสรรคทางการค้าและการลงทุน
โดยในช่วงบ่าย ประธานาธิบดีสีมีกำหนดจะพบปะกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีไทย หลังจากที่นายอนุทินเพิ่งลงนามข้อตกลงหยุดยิงกับกัมพูชาไปเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาระหว่างการประชุมผู้นำอาเซียน โดยมีทรัมป์เป็นสักขีพยานในการลงนาม รายงานเผยว่าสีได้บอกกับทรัมป์ระหว่างพบกันเมื่อวานนี้ (พฤหัสที่ 30 ตค.) ว่าจีนเองมีบทบาทสำคัญในการผลักดันการเจรจาสันติภาพในหลายโอกาสเช่นกัน หลังจากทรัมป์มักอวดอ้างว่าตัวเองเป็นนักไกล่เกลี่ยสันติภาพระดับโลก
และในช่วงเช้า สีจะพบหารือทวิภาคีกับซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ล่าสุดของญี่ปุ่นเป็นอันดับแรก ทั้งนี้จีนและญี่ปุ่นเป็นคู่แข่งและเป็นศัตรูกันมาในยุคประวัติศาสตร์และช่วงสงครามโลก แต่ความสัมพันธ์เริ่มดีขึ้นในช่วงไม่กี่ปีทีผ่านมา อย่างไรก็ตามการที่ทาคาอิจิได้รับเลือกเป็นผุ้นำคนใหม่ของญี่ปุ่นอาจทำให้ความตึงเครียดกลับมาอีกครั้ง เนื่องจากจากทาคาอิจิมีนโยบายชาตินิยม และแข็งกร้าวต่อจีน เพราะทันทีที่รับตำแหน่ง ทาคาอิจิประกาศเสริมสร้างกองทัพญี่ปุ่นเพื่อรับมือกับจีน และญี่ปุ่นยังมีฐานทัพสหรัฐประจำการอยู่มากที่สุดอีกด้วย
ทั้งนี้คาดว่าการกักตัวชาวญี่ปุ่นในจีนและข้อจำกัดการนำเข้าเนื้อวัว อาหารทะเล และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของญี่ปุ่นของจีน ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นหนึ่งในประเด็นอ่อนไหวที่จะมีการหารือกันในวันนี้
และในช่วงเย็น สีจะพบกับนายกรัฐมนตรีมาร์ก คาร์นี่ ของแคนาดาโดยมีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์หลังจากสองชาติมีความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่มานานหลายปีภายใต้รัฐบาลของอดีตนายกรัฐมนตรีจัสติน ทรูโด
ทั้งนี้แคนาดามีความพยายามที่จะลดการพึ่งพาสหรัฐและต้องการแสวงหาตลาดการค้าใหม่ ซึ่งจีนถือเป็นประเทศคุ่ค้าที่ใหญ่เป็นอันดับสองของแคนาดา แต่ภายใต้รัฐบาลทรูโด จีนและแคนาดามีการเผชิญหน้าหลายครั้ง โดยชาวแคนาดาหลายคนถูกจับกุมและประหารชีวิตในจีน ขณะที่แคนาดากล่าวหาจีนว่าแทรกแซงการเลือกตั้งแคนาดา ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา จีนยังประกาศใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดเมล็ดคาโนล่าจากแคนาดา ตอบโต้ที่แคนาดาขู่เก็บภาษีรถอีวีจีน 100%
 
								 
															

