สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงอุปถัมภ์ศิลปวัฒนธรรมไทยทุกแขนง เมื่อปีพุทธศักราช 2546 สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระปริวิตก (มีความกังวล)
ว่าในอนาคตศิลปะการแสดงจะซบเซาลง ด้วยขาดผู้ผลิตและผู้ชม จึงนำความกราบบังคมทูล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มีพระราชเสาวนีย์ว่า “ไม่มีใครดูแม่จะดูเอง”
นำไปสู่การจัดแสดงโขนหน้าพระที่นั่ง ตามภูมิภาคต่างๆ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ทรงอุปถัมภ์และพระราชทานทุนทรัพย์สนับสนุนการศึกษาพัฒนาเครื่องแต่งกายและการแต่งหน้าโขน
ให้เหมาะสมกับแบบแผนโบราณให้เหมาะสมกับแบบแผนโบราณ ทรงส่งเสริมและสนับสนุนการแสดงโขนอย่างเอาพระราชหฤทัยใส่ทุกมิติ มีพระราชเสาวนีย์ให้รวบรวมครูผู้เชี่ยวชาญและศิลปินหลายท่าน
ศึกษาค้นคว้าศาสตร์และศิลป์ที่เป็นภูมิปัญญาของการจัดแสดงโขน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ฟื้นฟูจัดสร้างเครื่องแต่งกาย ศิราภรณ์ หัวโขน
และเครื่องประดับทุกชนิดของโขนขึ้นมาใหม่อย่างสวยงาม ปรับปรุงวิธีการแต่งหน้าโขน โดยให้ศึกษาวิธีการแต่งหน้าโขนที่เปิดหน้าให้สวยงามเหมาะสมกับการแสดงบนเวทีสมัยใหม่
ส่งเสริมนักเรียนและนักศึกษาผู้ใฝ่ใจในการแสดงโขนให้มีความรู้ความสามารถยิ่งขึ้น พระราชเสาวนีย์นี้จึงก่อให้เกิดช่างฝีมือรุ่นใหม่ขึ้นเป็นจำนวนมาก




ทั้งช่างทำหัวโขน ช่างทอผ้า ช่างปักสะดึงกรึงไหม ช่างเงิน ช่างทอง ช่างแกะสลัก ช่างเขียน และช่างแต่งหน้าโขน ผู้มีความเข้าใจในศิลปะ
และจารีตนิยมของโขนอย่างถ่องแท้และส่งเสริมให้ครูผู้เชี่ยวชาญโขน ฝึกฝนเยาวชนรุ่นใหม่ขึ้นมา เพื่อสืบทอดการแสดงโขนต่อไป
ด้วยพระราชปณิธานที่จะทรงฟื้นฟู ส่งเสริม และอนุรักษ์การแสดงโขน ซึ่งเป็นศิลปะการแสดงชั้นสูงของไทยเพื่อธำรงรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติให้คงอยู่สืบไป
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ดำเนินการจัดการแสดงขึ้น
โดยเริ่มต้นครั้งแรกด้วยชุด “ศึกอินทรชิต ตอนพรหมาศ” ในปี 2550 ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็น
การแสดงที่สร้างความผูกพันอันใกล้ชิดขึ้นในครอบครัวไทย
ลูกหลานได้พาปู่ย่าตายายไปชมโขนอย่างเนืองแน่น นับเป็นการแสดงที่ได้รับการสนับสนุนและกระแสตอบรับเป็นอย่างดีมีผู้เข้าชมเต็มทุกที่นั่ง จนเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ในนาม “โขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ”
ด้วยการจัดการแสดงในครั้งแรกได้รับความชื่นชมจากประชาชนเป็นอย่างมาก สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
มีพระราชเสาวนีย์ให้จัดการแสดงโขนต่อเนื่องทุกปี ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา อาทิ ตอนนางลอย ตอนศึกมัยราพณ์ ตอนจองถนน
ตอนโมกขศักดิ์ ตอนนาคบาศ ตอนพิเภกสวามิภักดิ์ ตอนสืบมรรคา ตอนสะกดทัพ ตอนกุมภกรรณทดน้ำ และตอนพระจักราวตาร







สำหรับในปี 2568 นี้ จัดแสดงในตอน “สัตยาพาลี” การจัดแสดงแต่ละครั้งต้องเตรียมความพร้อมหลายด้าน รวมถึงค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง แต่สิ่งที่คณะกรรมการและผู้ทำงานทุกฝ่ายยึดถือเป็นขวัญกำลังใจคือพระราชดำรัสเกี่ยวกับการอนุรักษ์ศิลปะว่า “ขาดทุนของฉันคือกำไรของแผ่นดิน”
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อโขน นาฏกรรมคู่แผ่นดินไทย ทรงทำให้โขนได้รับการยกย่องจากองค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก (UNESCO) ในปี 2561
ว่าเป็น “มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมวลมนุษยชาติ” ซึ่งถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของไทยรายการแรกที่ได้รับการขึ้นทะเบียน เป็นการธำรงนาฏศิลป์อันทรงคุณค่าของชาติให้สืบทอดอยู่อีกนานเท่านาน
นับเป็นความโชคดีของคนไทยและประเทศไทย ในปี 2562 “โขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ” ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี
ในการสืบสาน รักษา และต่อยอด ทรงส่งเสริมและสนับสนุนการแสดงโขนอย่างเอาพระทัยใส่ทุกมิติ เพื่อสืบทอดมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติให้มีผู้สืบทอดต่อไป
สำหรับการแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ตอน “สัตยาพาลี” จับตอนตั้งแต่ทศกัณฐ์แปลงกายเป็นปูยักษ์หมายทำลายพิธีโสกันต์องคตกุมาร แต่พาลีผู้ได้พรจากพระอิศวรปราบได้



ต่อมาเกิดเหตุการณ์ทรพีบุตรทรพาโอหังไม่กตัญญูจนถูกพาลีฆ่าตายในถ้ำ และทำให้พาลีกับสุครีพ น้องชายเข้าใจผิดแตกกัน สุครีพจึงไปพึ่งพระรามและร่วมต่อสู้
จนพาลีต้องยอมมรณภาพโดยฝากฝังบ้านเมืองไว้กับพระราม เรื่องราวดำเนินต่อด้วยทศกัณฐ์ให้นางมณโฑหุงน้ำทิพย์ ชุบชีวิตพลยักษ์
แต่พระรามส่งหนุมานและเหล่าวานรไปทำลายพิธีได้สำเร็จ ก่อนที่กองทัพอธรรมจะพ่ายแพ้และทศกัณฐ์ต้องถอยทัพ เป็นการแสดงโขนที่สร้างความประทับใจ ความสนุกสนาน เพลิดเพลิน
ความบันเทิงให้กับผู้ชม ครบทุกอรรถรส ได้ข้อคิดเรื่องของการรักษาสัจจะ รวมทั้งด้านคุณธรรม ความกตัญญู ความซื่อสัตย์ รู้รักสามัคคี
รู้จักหน้าที่ ที่ต้องพึงปฏิบัติ เรื่องราวความสนุกจะเป็นอย่างไรต่อไปนั้น ติดตามรับชมได้ในการแสดงโขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ ตอน “สัตยาพาลี”
ถ่ายทอดการแสดงโดยนักแสดงเยาวชนรุ่นใหม่ มากฝีมือ ซึ่งเป็นผู้ที่ผ่านการคัดเลือกและฝึกซ้อมจาก ครูผู้เชี่ยวชาญด้านนาฏศิลป์ คีตศิลป์ หลากหลายแขนง
รวมทั้งแสง สี เสียง เทคนิคพิเศษต่างๆ ที่หาชมได้ยาก พร้อมชมความวิจิตรงดงามของเครื่องแต่งกายที่จัดสร้างด้วยความประณีต กำหนดจัดแสดงขึ้นใน วันที่ 6 พฤศจิกายน – 8 ธันวาคม 2568 ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศ
บัตรราคา 2,000 บาท, 1,800 บาท, 1,000 บาท, 800 บาทและ 600 บาท (รอบนักเรียน ราคา 200 บาท) จำหน่ายบัตรแล้ววันนี้ที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ โทร. 0-2262-3456 www.thaiticketmajor.com






