วันนี้ (18 ต.ค.68) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า โครงการ “คนละครึ่งพลัส” เป็นนโยบายที่รัฐบาลตั้งใจช่วยประชาชนลดภาระค่าใช้จ่าย พร้อมกระตุ้นเศรษฐกิจในวงกว้าง โดยเฉพาะภาคการเดินทาง ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายสำคัญในชีวิตประจำวัน กระทรวงคมนาคมจึงเร่งขับเคลื่อนให้ทุกภาคส่วนในระบบขนส่งสาธารณะสามารถเข้าร่วมโครงการได้จริง เพื่อให้ประชาชน เดินทางจ่ายครึ่งเดียว ขณะเดียวกันยังสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบอาชีพขับรถสาธารณะทั่วประเทศอย่างทั่วถึง
“คมนาคม” ชวนรถสาธารณะ เข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชน
ข่าวที่น่าสนใจ
คนละครึ่งพลัสไม่ได้เป็นเพียงโครงการลดค่าครองชีพเท่านั้น แต่ยังเป็นการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยในภาคขนส่งให้มีรายได้ที่มั่นคงมากขึ้น ขณะเดียวกันยังส่งเสริมให้ระบบขนส่งของประเทศก้าวเข้าสู่ระบบดิจิทัลที่โปร่งใสและตรวจสอบได้
ด้าน นางสาวมัลลิกา จิระพันธุ์วาณิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า โครงการนี้ถือเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาล ภาคเอกชน และผู้ให้บริการขนส่ง เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุดจากนโยบายจ่ายครึ่งเดียว โดยรัฐร่วมจ่ายอีกครึ่งหนึ่ง ผ่านระบบถุงเงิน – เป๋าตัง ของธนาคารกรุงไทย ขณะเดียวกันยังเป็นการส่งเสริมให้ผู้ให้บริการรถสาธารณะเข้าสู่ระบบการชำระเงินแบบดิจิทัล ลดการใช้เงินสด และสร้างมาตรฐานใหม่ในการให้บริการขนส่งสาธารณะ
ส่วน นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า กรมฯ ได้เตรียมความพร้อมในการรับสมัครผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งพลัส โดยเปิดให้ลงทะเบียนได้ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม – 19 ธันวาคม 2568 พร้อมกำหนดคุณสมบัติเบื้องต้นของผู้เข้าร่วมดังนี้
1. รถจักรยานยนต์สาธารณะ ต้องมีใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์สาธารณะ และบัตรประจำตัวผู้ขับรถ
2. รถตุ๊กตุ๊ก (สามล้อยนต์) ต้องมีใบอนุญาตขับรถยนต์สามล้อสาธารณะ
3. รถแท็กซี่ ต้องมีใบอนุญาตขับรถยนต์สาธารณะ (ประเภท ท.1–ท.4) และบัตรประจำตัวผู้ขับรถ
4. รถสองแถวและรถตู้โดยสาร ต้องมีใบอนุญาตขับรถประเภท ท.1–ท.4
5. รถโดยสารประจำทาง ต้องมีใบอนุญาตประกอบการขนส่งประจำทาง
6. รถโดยสารประจำทางหรือไม่ประจำทางที่เป็นนิติบุคคลรายเล็ก ต้องมีใบอนุญาตประกอบการขนส่งสาธารณะ และมีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ (ภ.ง.ด.50) รอบบัญชีปี 2567
นายสรพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมการขนส่งทางบกจะเร่งประชาสัมพันธ์เชิงรุก เพื่อให้ผู้ประกอบการขนส่งสาธารณะทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการมากที่สุด พร้อมประสานกับสำนักงานขนส่งจังหวัดทุกแห่งให้จัดเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำและอำนวยความสะดวกแก่ผู้สมัคร เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากโครงการนี้อย่างทั่วถึง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง